Rangeroverhouses.com Forum

Range Rover House => กลุ่มคนรักษ์เร้นจ์ Range Rover Mania => ข้อความที่เริ่มโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 13, 2012, 08:35:59 PM



หัวข้อ: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 13, 2012, 08:35:59 PM
วันนี้บ้านคนรักษ์เร้นจ์คงจะได้กลับมาคึกคักอีกครั้งกับการกลับมานั่งคุยกันแบบนี้อีกของผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า คนรักษ์เร้นจ์ คนนี้ วันนี้มีข้อมูลมากมายในสมองของผู้เขียน ที่จะนำมาถ่ายทอดผ่านเป็นตัวหนังสือให้ทุกท่านได้อ่านเพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกหรือผู้ที่ใช้ range rover l322 ก็ดี หรือผู้ที่่กำลังจะหาซื้ออยู่ก็ดี จะได้นำไปเป็นข้อมูล guide line ในการหาซื้อรถ ในการเลือกรถ หรือในการซ่อมแซมบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี อย่างคนมีความรู้ที่จะซ่อมแซม วันนี้บ้านเร้นจ์ขอกราบขอบพระคุณท่านสมาชิกทุกท่าน ที่มอบความไว้วางใจให้เราได้มีโอกาสรับใช้ท่าน ในวันก่อนหน้านี้บ้านเร้นจ์ของเราได้ผ่านมรสุมมามากมาย และสุดท้ายในปีที่แล้วก็น้ำท่วม ได้รับความเสียหายแสนสาหัส จนวันนี้เราพร้อมที่จะอยู่คู่กับเพื่อนสมาิชิกต่อไป  เราจะทำหน้าที่ของเราต่อไป ให้สมกับปณิธานที่เราตั้งไว้ว่า เรามีแต่ให้ เราไม่ได้ให้ความรู้กับเพื่อนสมาชิกแต่เพียงอย่างเดียว แต่เรายังอยู่เป็นเพื่อนท่านในเวลาที่ท่านต้องการความช่วยเหลือทุกที่ทุกเวลา เพียงแต่ท่านมีเบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้ 081 8566932 เราอาจจะให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย ในเวลาทื่ท่านต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับรถยนต์ของท่าน หรือท่านไม่ได้ใช้ l322 ในbrand lane rover ก็ยินดีครับ สำหรับเพื่อนสมาชิก Range rover house  เรามีบริการ door to door services  เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง diagnostics ฟรีอยู่แล้ว  เสียเมื่อไหร่ก็แวะมา ถ้าไม่แวะมาเราก็จะแวะไปเองครับ


หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 13, 2012, 09:17:20 PM
ที่จริงแล้วในกระทู้นี้ทางผู้เขียนเองตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนเฉพาะเรื่องปัญหา l322 ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เท่านั้น แต่เนื่องจากบางท่านอาจจะยังไม่ได้เข้าไปอ่านอีกกระทู้หนึ่งของ l322 ทางผู้เขียนเองก็เลยขอกล่าวเพียงสังเขปสักนิดหน่อยว่าประวัติความเป็นมานของเจ้า l322 ตัวนี้มีความเป็นมาอย่างไร ก็คงจะต้องเริ่มกันเลยก็แล้วกันครับ แต่ต้องขอออกตัวก่อนครับว่าทุกคำที่เขียนออกมานี้ไม่ได้มี scrib ออกมาก่อนดังนั้นถ้าท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจต้องขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยครับ ก็มาว่ากันเลยครับก่อนที่จะมีตัวนี้ เจ้า range rover ตัวแรกที่ออกมาสร้างความฮือฮาให้แก่วงการรถยนต์ก็เห็นจะได้แก่ เจ้า range rover classic มีทั้ง 3 ประตู ช่วงสั้น ช่วงยาว และต่อมาในปี 1990 ขึ้นมาก็ได้ออกรุ่นที่่สุดหรูออกมา มีทั้ง vogue se vogue lse เป็นทั้ง coil spring และระบบ air suspension ให้เลือกแล้วแต่ผู้บริโภคจะเลือกแบบใด  หลังจากนั้นต่อมาในปี 1995  p 38 หรือนังอ้วนของเราก็ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบและก็ได้รับคำยกย่องเป็น king of offroad ไปในปี ื1996 และในปี 1997 ปีนี้นี่เองที่เป็นจุัดเปลี่ยนของ range rover อย่างใหญ๋หลวง land rover uk ประสบกับภาวะขาดทุนมาโดยตลอดจนไม่สามารถพยุงตัวเองไปได้ จึงได้ขายกิจการให้กับค่ายรถยนต์ bmw ค่ายเยอรมันนีไปในปีนี้นี่เอง ดังนั้นรถยนต์ land rover ทุกรุ่นที่่ผลิตหลังจากปีนี้จึงเป็นการผลิตภายใต้การพัฒนาของทีม bmw ทั้งหมด ซึ่งก็จะมาเข้าเรื่องของเจ้า l322 พระเอกของเราพอดี เพราะเจ้า l322 ตัวนี้นี่เอง ที่เป็นรถยนต์ยี่ห้อ range rover ที่ถูกพัฒนาภายใต้ค่ายรถยนต์เยอรมัน รูปร่างจะออกมาเช่นไร ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ รถยนต์คันแรกของเจ้า l322 ถูกพัฒนาอยู่หลายปีจนในที่สุดปี 2002 ก็สามารถส่งออกมาขายได้ภายใต้ชื่อ new range rover กับรหัสตัวรถที่เราเรียกว่า l322 ตัวนี้แหละครับ


หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 14, 2012, 11:20:37 AM
ไหน ๆ ก็ได้กล่าวถึงประวัติของเจ้า l322 มาแล้วก็เลยอยากจะให้ความรู้เกี่ยวกับเจ้า l322 ในรายละเอียดลึก ๆ ลงไปอีก เพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกแฟนพันธุ์แท้ Range rover l322 เผื่อว่าใครเขาถามมาเราจะได้คุยกับเขาได้บ้างครับ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

     "เร้นจ์โรเวอร์" ได้ถูกนำออกมาสู่ตลาดโลกเป็นระยะเวลาร่วมสามสิบปี เป็นการอยู่ในตลาดอย่างยิ่งใหญ่ ยาวนาน ไม่ว่าในส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก เมื่อมีการพูดถึงรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นมา ชื่อของ "Range rover" จะต้องถูกยกขึ้นมากล่าวถึงเป็นอันดับแรกเสมอ ด้วยความโดดเด่นของระบบขับเคลื่อน และรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์แฝงไว้ด้วยความละเมียดละไมงดงาม บวกกับความโอ่โถงสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ตามสไตล์อังกฤษ

     นาทีแรกที่ ดอน ไวแอท ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรผู้ออกแบบรถยนต์ Range rover ขึ้นมาใหม่แทนที่รถยนต์ยอดนิยม ที่มีเกียรติประวัติอันยาวนาน เช่น Range rover นั้นเขาถึงกับเอ่ยปากอกมากับผู้ใกล้ชิดทันทีว่า เขาและทีมงานรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจให้ปรับปรุงเจ้า p38 เพื่อให้คงภาพลักษณ์แห่งความเป็นราชันย์ของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อชั้นนำเอาไว้ให้ได้

     โครงการดังกล่าวได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 1996 โดยในระยะแรกของโครงการนั้น ยังเป็นการหาข้อมูลร่วมกันกับฝ่ายของ bmw ซึ่งในขณะนั้นก็กำลังค้นหาแนวทางให้กับ x5 อยู่เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ ส่งผลปรากฎให้มีบางอย่างของรถยนต์ทั้งคู่ ยังคงมีองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่รายละเอียดสำคัญกลับแตกต่าง เช่น หลักการและแนวทางในการสร้างบุคคลิกภาพของ x5 นั้น ถูกวางให้เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่เน้นการใช้งานบนถนนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแตกต่างไปจากแนวทางของ Range rover โดยระยะเวลาที่ ดอน ไวแอท ได้รับมอบหมายมาให้ดำเนินการ มีเวลาเพียงแค่ 24 เดือนหรือเพียงสองปีเท่านั้น



หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 14, 2012, 11:57:57 AM
    
     ดอน ไวแอท เป็นชาวแคนาดา ได้เข้าร่วมงานกับ land rover ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 และสิ่งบันดาลใจสำหรับการออกแบบ Range rover ใหม่ของเขานั้น เป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดของเครื่องเสียงชั้นนำที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบทั้งรูปทรงภายนอกและภายในรถยนต์

     ฟิล ซิมมอน เป็นอีกหนึ่งในทีมวิศวกรผู้ออกแบบรถยนต์  Range rover ซึ่งทำงานอยู่ที่เมือง โซลิฮัลล์ ถิ่นกำเนิดของ land rover เมื่อ ดอน ไวแอท เดินผ่านโต๊ะทำงานของ ฟิล ซิมมอน เขาเห็นภาพของเรือแข่งที่ชื่อ Riva ถูกนำมาติดที่บอร์ดหน้าโต๊ะของ ซิมมอน ทำให้เขาพูดขึ้นมาว่าหลายส่วนของเรือ RIVA นี้ มีโอกาสถูกนำมาประยุกต์เข้ากับรูปทรงของRange rover ใหม่มากทีเดียว

     หากเป็นการออกแบบเรือที่มีคามเร็วสูง สิ่งที่นักออกแบบต้องทำกัน ก็คือ พยายามออกแบบให้ด้านหน้าเกิดความรู้สึกแข็งแกร่ง แต่เมื่อมองมาด้านข้างต้องใช้เส้นสายต่าง ๆ เข้ามาช่วยลดความแข็งแกร่งเปลี่ยนแปลงให้เป็นความเพรียวลม และรับรู้ได้ถึงความคล่องตัวและปราดเปรียว

     หลังจากผ่านการกลั่นกรองครั้งแล้วครั้งเล่า การหารูปลักษณ์แท้จริงของรถยนต์ภายใต้ชื่อรหัส l30 จึงมีการผลิตแบบจำลองขึ้นมาในขนาดต่าง ๆ โดยรูปทรงที่ได้รับการทดลองผลิตจำลองขึ้นมามากที่สุดเป็นรูปทรงที่พอจะกล่าวสรุปได้ว่า จุดเด่น ที่สอบผ่านคือรูปทรงด้านหน้าทั้งหลาย ไฟคู่หน้าเป็นรูปทรงกลม และฝากระโปรงที่มองดูคล้ายเปลือกหอย รวมทั้งแนวของฝากระโปรงที่เมื่อปิดลงไปให้สนิทแล้ว เส้นแนวนั้นจะอยู่ในระดับเดียวกับเส้นแนวเส้นด้านข้างของตัวะงและมือจับประตู ขณะที่ขอบกระจกและตัวกระจก ต่างถูกปล่อยทิ้งไว้ให้คงรูปทรงคล้ายกับ Range rover รุ่นแรกพอสมควร


หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 14, 2012, 12:16:30 PM
     แบบจำลองที่ทดลองผลิตออกมาสำเร็จเป็นรูปร่างในช่วงปี ค.ศ. 1997 ทำให้ดอน ไวแอท เกิดปัญหาขึ้นถามตัวเองว่า ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด และมีหลายอย่างที่คงเอาเอกลักษณ์ของ  Range rover เดิมไว้ จนไม่เหลือการบ้านให้ต้องแก้ไขอะไรอีกแล้ว และจากการสำรวจดูความคิดเห็นจากผู้แทนจำหน่ายและเจ้าของ Range rover ทำให้เขาได้รับข้อมูลกลับมาว่า เขาเหล่านั้นชอบที่จะให้คนอื่นมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจน เมื่ออยู่ในห้องโดยสารของ Range rover  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงรูปทรงภายนอกมากเกินไปถึงขนาดจำไม่ได้ว่ารถที่วิ่งผ่านหน้าไปคือ Range rover จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ

     Range rover รุ่นแรกเผยโฉมในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ด้วยแนวคิดการออกแบบของวิศวกรอาวุโส "สเปน คิง" และสานต่อด้วยฝีมือของ เดวิด บาซ หัวหน้าทีมออกแบบของ Rover ผู้เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์

     การออกแบบ Range rover ในยุคนั้น ได้รับการยกย่องในการจัดสรรอย่างลงตัวของพื้นที่ใช้สอย แม้จะถูกวิจารณ์เกี่ยวกับการออกแบบในบางส่วน เช่น ทางด้านเสาหลังหรือ D pillar ทื่มีความหนาแถมยังเน้นให้เด่นขึ้นมาด้วยสีดำ แต่เมื่อมองภาพรวมเข้าไปกับหลังคาที่ดูเหมือนถูกยกลอยขึ้นไปอย่างมั่นคง กลับถือว่าเป็นการรังสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ซึ่งถือว่า Range rover เป็นรถยนต์รุ่นแรก ๆ ที่มีการสร้างโดยให้สีที่เสาหลังคาแตกต่างไปจากสีของตัวถัง

     ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 เมื่อ  Range rover ได้ก้าวเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ ทีมงานของ land rover จึงได้ปรับความคิดขึ้นมาใหม่ โดยหวังให้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่คงความหรูหรา และทรงคุณค่าอย่าง  Range rover สามารถวางตำแหน่งไว้อย่างเหมาะสม ในตลาดใหญ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังเป็นตลาดที่ทรงอิทธิพลต่อตลาดรถยนต์ในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก


หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 14, 2012, 12:38:28 PM
    
     ดอน ไวแอท กล่าวว่า จากการที่เขาคลุกคลีกับบรรดานักออกแบบทั้งหลายมายาวนาน ทำให้รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายสำหรับ Range rover เพียงแค่การเลือกเอาวัสดุที่ถูกนำมาใช้ในห้องโดยสาร ก็สามารถทำให้เห็นถึงความหรูหรานั้นได้ชัดเจน ไม่ต้องกล่าวอะไรมากนัก

     แม้ดูอย่างผิวเผิน จะมีผู้ออกความเห็นว่า แทบจะหาความแตกต่างในระหว่าง Range rover รุ่นใหม่ และรุ่นเก่าไม่ได้ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแม้ว่าเส้นสายจะคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า Range rover รุ่นใหม่ มีความโค้งมนมากกว่ารุ่นแรก ๆ อย่างเห็นได้ชัด

     "เรื่องของความโค้งมนนี้ เป็นสิ่งที่เราวางเป้าหมายเอาไว้นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเริ่มคิดถึงการปรับปรุงเลยทีเดียว และเมื่อเราพัฒนามันจนสำเร็จจะเห็นได้ว่า ในความเป็นเอกลักษณ์ที่คงไว้ เราได้ใส่รายละเอียดที่ดูแล้วทันสมัยลงไปมาก แม้แต่เรื่องของครีบระบายความร้อนที่ตัวถังด้านข้าง ซึ่งมีประโยชน์ต่อการใช้สอยอย่างจริงจัง แม้บางคนบอกกับเราว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับ range rover มาก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามจะต้องถือว่า ภาพรวมของ l30 จะได้รับการตอบรับที่เยี่ยมยอดมากทีเดียว

     บทวิจารณ์บางบทกล่าวว่า ไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น แม้แต่ตราสัญญลักษณ์ของ Range rover ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่ ก็ยังคงไว้ซึ่งรูปและแบบเดิมอยู่นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงจะเห็นชัดเจนว่า Range rover รุ่นเก่านั้น ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อนำไปใช้งานในลักษณะของรถยนต์ OOFROAD ที่สมบุกสมบัน โครงสร้างตัวถังจึงทำให้ดูบึกบึนแข็งแรง แตกต่างไปจาก Range rover ใหม่ ที่ใช้โครงสร้างหลักแบบชิ้นเดียว (monocouge) ที่ยืดหยุ่นตัวได้มากกว่า ตามมาด้วยช่วงล่างแบบอิสระที่ให้ความนุ่มนวลนขณะใช้งานบนถนน ให้การยึดเกาะที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ยังคงความสามารถบนเส้นทางสมบุกสมบันเอาไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด


หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 14, 2012, 12:59:33 PM
     การพัฒนาของเจ้า Range rover ไม่ได้หมายความว่าเพียงแค่เปลี่ยนโครงสร้างตัวถังให้หันมาหาระบบโมโนค็อคเท่านั้น แต่ต้องคงสมรรถนะการลากจูงน้ำหนักบรรทุกระดับ 3.5 ตันเอาไว้ ฟังดูแล้วเรื่องราวที่เป็นไปไม่ได้สำหรับรถยนต์ที่ใช้โครงสร้างแบบโมโนค็อค แต่ Range rover ใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นขีดความสามารถในการลากจูง และความทนทานของตัวถังใน Range rover ใหม่ สามารถลากจูงรถยนต์ที่มีน้ำหนักตัว 5.5 ตันให้เคลื่อนที่ได้อย่างสบาย และตัวถังแบบโมโนค็อคที่มีน้ำหนักเบา ก็มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการกระจายแรงดึง รวมทั้งขีดความสามารถในการกระจายน้ำหนักแรง เมื่อเกิดการชนหรือกระแทกขึ้น ซึ่งประสิทธิภาพด้านนี้ของ Range rover ใหม่ ได้รับการยอมรับและผ่านมาตรฐานของ NCAP ด้วยผลการทดสอบระดับ 5 ดาว เมื่อเทียบกับรถยนต์ในกลุ่มเดียวกัน

     ในส่วนของระบบช่วงล่างนั้น Range rover สร้างโจทก์ที่แสนยากเย็น ให้วิศวกรไปทำเป็นการบ้าน เพราะความต้องการที่จะให้เป็นรถที่มีระบบรองรับที่ดี ต้องอารให้ผู้ที่อยู่ในห้องโดยสาร ให้ได้รับความนุ่มนวลสะดวกสบาย ไม่เมื่อยล้ากับการเดินทาง แต่ต้องการให้ความแข็งแกร่งทนทาน สามารถบุกตะลุยไปทุกสภาพเส้นทางหฤโหดได้อย่างไม่มีการบุบสลายนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถไม่น้อย


หัวข้อ: Re: top ten serious case with l322 (2002 - 2006)
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 14, 2012, 01:01:41 PM
ทางผู้เขียนเองคิดว่าวันนี้คงจะพักไว้เพียงแค่นี้ก่อนแล้วจะกลับมาเขียนใหม่ในวันต่อ ๆ ไปครับ ขอบคุณที่ติดตาม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: RANGE ที่ ตุลาคม 14, 2012, 11:19:09 PM
ชอบครับ...อ่านเพลินได้ความรู้ดี ปูเสื่อนั่งรอตอนต่อไปคร้าบ  ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 15, 2012, 09:35:07 AM
อย่างที่เราได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทางค่าย bmw ได้ทำการ take over land rover UK ตั้งแต่ปลายปี 1996 ไปนั้นทำให้รถยนต์ land rover ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1997 นั้นได้มีสายเลือดของเยอรมันผสมอยู่แทบจะทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น p38 freelander discovery and l322 ด้วย แทบจะเรียกกันว่าทุกรุ่นที่อยู่ในสายการผลิตเองเลยก็ว่าได้ ทาง bmw ได้พัฒนา land rover ไปมากเหมือนกัน แม้แต่นังอ้วนเอง รถยนต์ที่ผลิตในปี 1997 ขึ้นไปนั้นได้เปลี่ยนแปลงระบบไฟฟ้าไปมากพอดู อย่างระบบไฟฟ้าที่เคยใชอุปกรณ์ของ lucas อยู่ก็เลิกใช้หันไปใช้ของค่าย  bosh แทน ถามว่าเกิดผลดีหรือผลเสียมากมายแค่ไหน ตอบได้เลยครับว่าเป็นผลดีมากกว่าผลเสียครับ เพราะระบบไฟฟ้าของ bosh นั้นค่อนข้างที่จะมีเสถียรภาพมากกกว่านของ lucas ความคงทนต่อสภาพอากาศ ความร้อน ตลอดจนความทนต่อสภาวะต่าง ๆ ได้ดีกว่า ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าในภาพรวมดีขึ้นกว่าเก่ามาก ส่วนในข้อเสียก็คือการทำให้ราคาอะหลั่ยแพงขึ้นกว่าเดิม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 15, 2012, 09:55:36 AM
     
     มีการทดสอบที่ถูกจัดให้เป็นการทดสอบที่โหดร้ายมาก ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบในระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระหว่าง -40 องศาเซลเซียส ไปจนถึงสูงระดับ 50 องศาเซลเซียส และสภาพผิวถนนที่มีตั้งแต่การขับข้ามแอ่งน้ำ การขับลุยผ่าทะเลโคลน หรือขับบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงและหินแหลมคม

     สิ่งพิเศษสำหรับ Range rover ใหม่อีกอย่างหนึ่ง คือการนำเอาระบบ air spring  เข้ามาใช้กับระบบช่วงล่าง จากเดิมที่เป็นระบบช่วงล่างแบบคานแข็ง ทำให้ไม่สามารถนำเอาระบบนี้มาทำงานร่วมกันได้ ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนมาเป็นแบบอิสระทั้งสี่ล้อ ระบบ air spring จึงเข้ามามีบทบาท โดยผลดีที่ได้ก็คือ เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ระบบดังกล่าว จะช่วยลดความสูงระหว่างตัวถังกับพื้นถนนลงมาโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้การทรงตัวดีขึ้น และเมื่อไปใช้งานในเส้นทางที่ขรุชระ ระบบนี้ก็ช่วยให้ตัวถังรถสามารถยกสูงขึ้นหลบสิ่งกีดขวางได้ดีกว่าเก่า

     ระบบเบรคของ Range rover ใหม่ ใช้ของค่าย bosh ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ให้แรงดันน้ำมันเบรคได้สูง จึงทำให้มีขีดความสามารถในการหยุดได้มั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าพละกำลังของเครื่องยนต์จะมีมากเพียงใดก็ตาม เบรคชุดนี้ถือว่าเป็นระบบที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก อีกทั้ยังได้รับการปรับแต่งระบบควบคุมการทรงตัว ให้รองรับการใช้งานได้เต็มที่ และดีกว่าตัว p38 มากมาย เพราะว่า p38 ต้องใช้ ระบบเบคร abs ร่วมกับ abs booster abs pump accumulator ซึ่งเวลาที่ชำรุดเสียต้องใช้งบประมาณมาดูแลมากกว่ามาก และข้อสำคัญ l322 ไม่เคยไหม้ไฟเพราะสาเหตุจากน้ำมันเบรครั่วเลย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 15, 2012, 10:13:56 AM
     ระบบเบรคแบบนี้สามารถทำงานได้ดีแม้จะอยู่บนเส้นทางออฟโรด สามารถลดอาการหน้าดื้อโค้งและท้ายปัดลงไปได้ แม้จะใช้ความเร็วสูงเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งน้เบรคของ Range rover ใหม่ยังมีระบบช่วยถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามาอีกหลายอย่างเช่น abs ระบบกระจายแรงน้ำมันเบครที่ควบคุมด้วยอิเลคโทรนิคส์ ระบบช่วยเพิ่มแรงกดของเบรค และที่สำคัญที่สุดคือ ระบบ HDC (hill descent control) ซึ่งระบบหลังนี้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ land rover เป็นระบบที่สามารถช่วยลดการเบรค และเครื่องยนต์ขณะลงจากทางลาดชันได้อย่างดีเยี่ยม

     New range rover ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันสมคำว่ารุ่นใหม่ ภายในหองโดยสารถุกออกแบบมาให้เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น พนักพิงของเบาะหลังมีมุมเอียงมากกว่ารุ่นเดิม แถมยังสามารถปรับระดับได้ถึง 7 ระดับและติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งที่สูงกว่าเบาะหน้า ซึ่งนั่นหมายถึงการนั่งที่สบายและลดความเมื่อยล้าในการเดินทาง รวมถึงเพิ่มทัศนวิสัยให้กับผู้นั่งได้เป็นอย่างดี

     ด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ที่ส่วนใหญ่ควบคุมด้วยระบบอิเล็คโทรนิคส์ก็ได้รับการออกแบบอย่างตั้งใจ ระบบปรับอากาศ สามารถควบคุมได้ง่ายจากแผงคอนโซลกลาง ทุกอย่างมองดูผสมผสานกลมกลืนและลงตัว ด้วยการออกแบบของทีมงานอย่างประณีตบรรจง



หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 15, 2012, 10:32:14 AM

     อุปกรณ์ใด ๆ ในโลกใบนี้หากจะนำมาเปรียบเทียบกับรถยนต์ Range rover ได้ เห็นแต่จะมีแต่มีดพกเอนกประสงค์ swiss army เท่านั้น ด้วยความเป็นอุปกรณ์ซึ่งมีขีดความสามารถในการสนองความต้องการได้หลากหลาย และผู้ออกแบบล้วนแต่ใช้ความละเอียดอ่อน พินิจพิจารณาการใช้งานจริง เช่น ในมีด swiss army ที่มีขีดความสามารถทั้งการเปิดขวดน้ำอัดลม การเปิดขวดไวน์ การเป็นอุปกรณ์ช่วยในการตกปลา ไขควง มีดปอกและตัด แม้แต่ไม้จิ้มฟันยังถูกออกแบบซ่อนมาให้สามารถใช้งานได้จริง ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของนักออกแบบได้เป็นอย่างดี

     New range rover ก็เช่นกันที่นักออกแบบต้องพิถีพิถัน คำนึงถึงคามสามารถในการใช้งาน ให้ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในสภาพที่หรูหราของสังคมชั้นสูในเมือง หรือสภาพเส้นทางในป่าเขา โดยผู้ที่อยู่ในรถยังความสบายและเสพสุขกับความหรูหราได้เต็มที่ เท่ากับว่าเป็นการนำเอาห้องรับแขกที่โอ่โถงออกไปใส่ล้อวิ่งผ่านอุปสรรคทั้งมวลโดยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารนั่งอยู่บนโซฟาติดล้อนั่นเอง

     ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมใน new range rover  มีการทำงานที่แตกต่างถึง 3 แบบคือ แบบ access แบบ normal และแบบ offroad เมื่อคุณขับโดยใช้ความดเร็วคงที่ระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนานเกินกว่า 1 นาที ความสูงของตัวถังจะถูกลดลงมา 21 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ และความสูงของตัวถัง จะกลับไประดับเดิมทันที เมื่อคุณใช้ความเร็วลงมาต่ำกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นเวลาต่อเนื่องเกินกว่า 2 นาที่


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 15, 2012, 08:14:19 PM
    
     ระบบ HDC  จะทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเดินหน้าหรือถอยหลังก็ตาม รวมทั้งไม่ว่าจะอยู่ในระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ High หรือ Low ซึ่งการทำงานในแนวคิดแบบนี้ Land rover เพิ่งจะนำเข้ามาใส่ใน new range rover เป็นครั้งแรก

     โดยระบบ HDC นั้น เกิดจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงภาระที่้เบรคต้องรับในขณะลงทางลาดชัน เบรคหน้าจะเป็นผู้รับบทบาท หนักมาก หลายครั้งก่อให้เกิดการเสียเสถียรภาพการทรงตัว หรือทำให้เบรคผิดปกติขึ้นมา ระบบ HDC นี้เข้ามาเพื่อทำการกระจายน้ำหนักการเบรคไปสู่ล้อหลัง เพื่อให้เบรคทุกล้อมีส่วนร่วมในการทำงานเท่ากัน

     ระบบ DSC  ที่ช่วยการทรงตัวให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะขับขี่บนสภาพถนนเช่นใดก็ตาม ผู้ขับขี่ ก็สามารถบังคับให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เพียงแ่ค่กดปุ่ม on/off ที่ติดตั้งอยู่บนแผงหน้าปัดเท่านั้น ซึ่งการมีปุ่มปรับเลื อกการใช้หรือไม่ใช้ DSC เข้ามานั้น เป็นเพราะวิศวกรของ Land rover ต้องการให้ผู้ขับขี่ได้เลือกใช้ DSC หรือจะเลือกใช้ Traction Control ที่ควบคุึมการทำงานด้วย Electronics ตามความต้องการจริง

     ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปนานเพียงใด แต่ปรัชญาการพัฒนาของ Range rover ที่ต้องการให้เป็นรถซึ่งสามารถสนองตอบความต้องการในการใช้งานได้ทุกเส้นทาง กลับไม่เคยเปลี่ยน หรือแม้แต่จะบิดเบือนไปแม้แต่น้อย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 15, 2012, 08:28:09 PM
    
     Range rover ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคที่การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีมีความรุดหน้าอย่างรวดเร็วช่วงปลายทศวรรษ 1960 รถยนต์ Range rover รุ่นแรก เปิดตัวขึ้นมาพร้อมกับรอยเท้ารอยแรกของมนุษย์ที่ขึ้นไปประทับบนดวงจันทร์ และการพัฒนาอย่างเต็มชั้นนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในช่วงปี 1990

     หากจะให้นิยามกับ Range rover คงต้องใช้คำพูดว่า ความใหญ่ ความสามารถ ความทรหด ซึ่งทั้งหมดนั้นหมายถึงยานยนต์ที่ผู้ขับขี่มั่นใจได้ว่า ทุกความเคลื่อนไหวคือความมั่นคง และความปลอดภัยของผู้่ที่่อยู่ในห้องโดยสารนั่นเอง

     ในขณะที่สภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมนของโลกยังไม่ดีนัก แต่ Land rover กลับเดินหน้าทุ่มเงินลงทุนกว่า 200 ล้านปอนด์ เพื่อพัฒนาโรงงานประกอบที่เมือง โซลิฮัลล์ ให้ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

     นับเป็นอีกครั้งหนึ่งของ Range rover ที่จะต้องพิสูจน์ข้อสงสัยที่ว่า ทำไมผู้คนถึงต้องพร้อมที่จะยอมจ่ายเงิน เพื่อแลกกับสิ่งดี ๆ เช่นนี้เข้ามาไว้ครอบครอง เวลาเปลี่ยนไปในแต่ละวินาที ไม่สามารถทำให้ Range rover เปลี่ยนนิยามและความคิดในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดต่อลูกค้าได้แม้แต่น้อย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 15, 2012, 09:46:55 PM
โฮๆๆๆสุดยอดไปเลยพี่ มีหลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี้ย :)


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 16, 2012, 09:50:48 AM
อรัมภบทเกี่ยวกับประวัติของ Land rover กันไปแล้ว ทางผู้เขียนเองก็หวังว่าทางท่านผู้อ่านคงจะได้รับเกล็ดความรู้กันบ้างไม่มากก็น้อย นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่ท่านผู้อ่านยังไม่รู้เกี่ยวกับ l322 ตัวนี้ แล้วเราก็มาเข้าเรื่องของเราต่อเลยดีกว่าครับ

เรามาสตาร์ทกันเลยก็แล้วกัน พูดถึงเรื่องสตาร์ทแล้วก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ไอ้เจ้ารูกุญแจสตาร์ทสำหรับรถยนต์ร่นนี้ มันไม่ได้อยู่ตรงคอพวงมาลัยอย่างที่พวกเราเคยชินกัน การพัฒนารถยนต์รุ่นนี้ทางทีมวิศวกรได้นำไปวางไว้ตรงคอนโซลเกียร์ใกล้ ๆ กับคันเกียร์นั่นเอง อาจจะขัด ๆ นิดหน่อยสำหรับท่านที่เพิ่งจะเริ่มใช้แต่เมื่อใช้ไปนาน ๆ แล้วก็จะชินไปเองครับ การสตาร์ทรถยนต์รุ่นนี้นั้น การบิดกุญแจสตาร์ทไม่จำเป็นต้องบิดแช่ไว้เหมือนดังรถยนต์รุ่นเก่า ๆ สำหรับเจ้า l322 นั้นเป็นอะไรที่พิเศษยิ่งกว่า การบิดกุญแจสตาร์ทที่ถูกต้องสำหรับรถยนต์รุ่นนี้นั้นควรจะบิดไปแล้วปล่อยกุญแจดีดกลับเอง ไม่ต้องรอให้เครื่องยนต์ติดแล้วค่อยปล่อย ไม่เชื่อลองทำดูสิครับ

การถอดขั้ว battery สำหรับรถยนต์ร่นนี้นั้นง่าย ๆ ครับแต่แบตเตอรี่จะค่อนข้างลูกใหญ่มากพอดู ที่ตั้งของแบตเตอรี่ก็อยู่ด้านหน้าซ้ายด้านใน ใช้กุญแจเบอร์ 10 ขันแน่นก็อยู่แล้วครับ แต่ต้องสังเกตุสักนิดนะครับว่าสายไฟของรถยนต์รุ่นนี้ สายสีแดงคือขั้วบวก แต่สายสีน้าตาลนั้นจะเป็นขั้วลบนะครับ จะไม่มีสีดำเข้ามาให้เห็นนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดคิดว่าสีน้ำตาลเป็นขั้วบวกต้องระวังนะครับ ถ้าใส่ผิดขั้วเมื่อไหร่ก็เรื่องใหญ่ครับ 12v 110Ah นั่นคือ size ของแบตเตอรี่ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ห้ามใส่แบเตอรี่ที่มีขนาดเล็กกว่า spec ที่โรงงานผู้ผลิตกำหนดมา เพราะจะทำให้ท่านปวดหัวกับปัญหาระบบไฟฟ้าแบบไม่รู้จบ original parts เป็นสิ่งที่ควรนำมาใช้แต่ถ้าไม่ไหวในเรื่องราคา ที่ประมาณ 10000 บาทต่อลูก ก็ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ครับ ราคาประมาณ 7000 บาท ต่อลูกครับ การถอดขั้วแบตเตอรี่ที่ถูกต้องนั้นจะต้องถอดขั้วลบก่อนเสมอแล้วจึงจะถอดขั้วบวก ทำไมต้องทำเช่นนี้ เพราะว่าเวลาที่ท่านจะถอดขัวแบตเตอรี่หากท่านทำการถอดขั้วบวกก่อนกุญแจหรือเครื่องมือที่ใช้สำหรับถอดอาจจะไปแตะกราวด์ทำให้เกิดการ spark ขึ้นได้ นั่นหมายถึงว่าจะไม่เกิดผลดีต่อสมองอีเล็คทรอนิคส์ของรถ อาจจะไม่เสียแต่ก็อาจจะทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด หรือไม่ก็เอ๋อไปเลย ฉะนั้นการถอดแบตเตอรี่ครั้งต่อไปควรที่จะต้องดูเพราะว่าลูกจ้างที่ร้านแบตเตอรี่นั้นเขาไม่ใช่ช่าง ดังนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก เพียงเพื่อทำให้เสร็จหน้าที่ไป ท่านเองจะต้องคอยดูเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง และเวลาใส่ขั้วแบตเตอรี่ก็ควรที่จะใส่ขั้วบวกก่อนเสมอและใส่ขั้วลบในลำดับสุดท้ายครับ เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้วก็วกลงมาถึง srs สักนิดหนึ่งครับ สำหรับ srs ในรถยนต์รุ่นนี้ถือว่าค่อนข้างที่จะ sensitive มากครับ เพราะว่าเขาชอบโชว์แล้วไม่ดับครับ สาเหตุหลักก็มาจากจุดนี้ด้วยครับ ดังนั้นถ้าท่านจะทำการต่อสายไฟ เพื่อนำไฟบวก 12 v ออกไปใช้เพิ่มเติมจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง แก๊ส ไม่ควรที่จะต่อจากขั้วบวกของแบตเตอรี่โดยตรง ควรไปต่อที่จุดที่ใช้สำหรับพ่วงออกไปจะดีกว่าครับ

มีคำถามมากมายกลับมาว่าเมื่อใส่ขั้ว แบตเตอรี่แล้วต้องทำอะไรบ้าง จะเหมือนกับนังอ้วนหรือไม่ จะยุ่งยากจุกจิกกว่ามากไหม ไม่ต้องตกใจไปมากนักครับ สำหรับรถยนต์รุ่นนี้อย่างที่บอกครับว่าได้รัการพัฒนามาจากรุ่น p38 ดังนั้นต้องมีอะไรที่ดีกว่าแน่นอน  ก็ง่าย ๆ ครับ เมื่อใส่ขั้วแบตเตอรี่แล้ว  สตาร์ทเครื่องยนต์  หน้าจอจะขึ้นคำว่า air suspension inactive และอีกหลาย ๆ คำ พร้อมกับมีไฟสามเหลี่ยมสีเหลือง และ abs โชว์อยู่ พอเครื่องยนต์ติดแล้วให้ท่านหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายสุดและกลับมาขวาสุดก็จะทำการ set ค่าต่าง ๆ แล้วครับ ไม่ต้องตกใจ เสร็จแล้วก็ ต้องตั้งวิทยุ นาฬิกา วัน เวลา และ memory เบาะ แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ เห็นไหมครับความยุ่งยากหมดลงไปในพริบตา จะแตกต่างจาก p38 มากครับ เพราะ p38 จะต้องกดกระจกทุกบาน sun roof ต้องเซ็ท ใส่โค๊ดวิทยุ syncronize กุญแจรีโมท  ซึ่งจะยุ่งยากกว่ามากครับ เดี๋ยวเราไปเรียนรู้ลึก ๆ กันในรายละเอียดอีกทีครับ

พูดถึงกุญแจรีโมท สำหรับรุ่นนี้ก็มี 2 ดอกเหมือนกันครับ เท่าที่สัมผัสดูไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าไรในการใช้งาน จะมีปัญหาตรงปุ่มยางที่ชอบขาด ก็หาซื้อมาเปลี่ยนได้ครับ สำหรับกุญแจรุ่นนี้ถ้าท่านต้องการถอดกุญแจออกจากรูกุญแจ มีทางเดียวเท่านั้นคือใส่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง p เท่านั้น ในตำแหน่ง N นั้นไม่สามารถทำใด้สำรถยนต์รุ่นนี้ มีคำถามกลับมาอีกว่าถ้าจะไปจอดตามห้างสรรพสินค้าที่ต้องจอดขวางแล้วต้องใส่เกียร์ N ล่ะครับจะต้องทำอย่างไร ตอบได้เลยครับว่าหมดสิทธิ์ ต้องหาช่องจอดเพียงอยางเดียวเท่านั้นครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 16, 2012, 10:19:06 AM
และก็มีคำถามกลับมาอีกครับว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ไอ้เจ้า l322 ตัวนี้ผลิตออกมาจากโรงงานผู้ผลิตนั้นดูตรงไหนครับ ในเมื่อถามมาก็จะตอบกลับไปครับขอบคุณสำหรับคำถาม ก่อนอื่นเราควรจะรู้ว่าไอ้เจ้ารถยนต์รุ่นนี้ผลิตออกมาจากปีไหนถึงปีไหน และเลข chassis กับ engine number นั้นอยู่ตรงไหนไปด้วยครับ

สำหรับเลข chassis นั้น สำหรับรุ่นนี้นั้นจะนำไปไว้ที่  ห้องเครื่องยนต์ พอเปิดฝากระโปรงออำมาก็จะพบกับ   ที่ยึดโช๊คอัพหน้าด้านขวาหลังกล่องเครื่องยนต์ จะสังเกตุง่าย ๆ ครับ เราไปยืนที่ล้อหน้าด้านขวา แล้วลองมองเข้าไปที่ยึดหูโช๊คอัพหน้า ตรงนั้นแหละครับ เดี๋ยวทาง web master คงจะมีรูปภาพมาให้ดูนะครับ เพราะพี่ปัญจะนั้นทำไม่เป็นครับ น้อง ๆ web master ครับช่วยด้วยนะครับ ขอตั้งแต่ต้นเลยก็ได้ครับ

สำหรับเลขเครื่องยนต์นั้น สำหรับรุ่นนี้นั้นจะอยู่ด้านหน้าของเครื่องยนต์ ถ้ามองลงไปตรง ๆ ใต้ปีกผีเสื้อก็จะเห็นครับ แต่ไม่สามารถลอกเลขเครื่องได้ถ้าไม่ถอด ปีกผีเสื้อออก ถึงแม้จะถอดปีกผีเสื้อออกแล้วก็จะติดท่อน้ำหล่อเย็นอีกครับ สำหรับเครื่องยนต์รุ่นนี้เท่าที่ซื้อขายกัน ทางกรมการขนส่งทางบกท่านจะไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไรครับ ถ้าลอกได้ก็ลอกไป ถ้าลอกไม่ได้ท่านก็เพียงแต่ใช้ไฟฉายส่องเลขเครื่องว่าตรงหรือไม่ เท่านั้นเองครับ ไม่ต้องกังวลไปครับ

แล้วการที่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ารถยนต์คันนี้ผลิตมาจากโรงงานผู้ผลิตเมื่อใด จุดที่เราจะดูมีอยู่ 3 ที่ครับ  จุดแรกจะอยู่ในห้องเครื่องยนต์ด้านขวาตรงหูโช๊คอัพขวานั่นแหละครับจุดนี้จะใช้สำหรับการลอกเลขเพื่อต่อภาษีหรือโอน ส่วนจุดที่สองจะเป็นเพียง sticker สีดำ จะอยู่ที่ด้านซ้ายใกล้ ๆ กับที่เติมน้ำฉีดกระจกหน้า ส่วนจุดที่ 3 นั้นจะอยู่ตรงกระจกบังลมหน้าด้านซ้ายตรงที่เดียวกับรุ่น p38 นั่นแหละครับ

สำหรับ code ที่ใช้นั้นจะขึ้นต้นด้วย      SALLMAMA 32A123456   2A นั้นจะทำให้ท่านทราบได้ว่ารถยนต์คันนี้ ถูกผลิตออกมาจากโรงงานผู้ผลิตในปี   2002
                                           SALLMAMA 33A123456   3A                                                                                      2003
                                           SALLMAMA 34A123456   4A                                                                                      2004
                                           SALLMAMA 35A123456   5A                                                                                      2005

สำหรับ code SALLMAMA  32A นั้นจะเป็น code ของโรงงานผู้ผลิตเพื่อจะได้รู้กันในสายงานการผลิตว่า S นั้นย่อมาจากอะไร A นั้นย่อมาจากอะไร L คืออะไร ดังนั้นอาจจะไม่จำเป็นสำหรับเราแต่ถ้าอยากจะรู้จริงถ้าท่านถามมาเราก็ยินดีที่จะตอบให้ท่านได้ทราบกัน


                                                                                                                                                                                  


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 16, 2012, 10:58:45 AM
เขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็อย่างที่บอกกันว่าทุกอย่างนั้นส่งตรงออกมาจากสมองโดยตรงอาจจะไม่ได้เป็นทางการมากมายนัก นึกคิดอะไรได้ก็นำออกมาให้อ่านกันเพื่อหวังเพียงว่าสิ่งที่เราคิดเราทำนี้จะเป็นวิทยาทานอย่างที่เราตั้งใจที่จะทำ สิ่งใดที่อ่านแล้วฟังแล้วท่านคิดว่าอันนี้ไม่ใช่อันนี้ไม่ถูกต้องสมควรที่จะท้วงติงเพื่อให้เกิดความถูกต้องมากที่สุดก็ขอน้อมรับเอาไว้แก้ไข พี่ปัญจะเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเขียนบทความนของเราจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย  ต้องขอออกตัวก่อนว่าพี่ไม่ใช่นักเขียนอาชีพ วกไปบ้างวนมาบ้างต้องขอพระอภัยมณีศรีสุดา มาด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 16, 2012, 01:34:10 PM
มาต่อกันอีกกับคำถามทืว่าเมื่อเวลารถสตาร์ทไม่ติดสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้หรือไม่ เวลาจอดรถไว้นานนานไม่ได้ใช้แล้วแบตเตอรี่หมด จะเกิดปัญหาใดๆ กับระบบหรือไม่ถ้าจำเป็นต้องพ่วงแบตเตอรี่สตาร์ท  ตอบกันตรง ๆ เลยครับว่ารุ่นนี้สามารถทำได้เลยไม่มีผลชข้างเคียงกับระบบไฟฟ้า เพียงแต่ว่าควรจะต้องทำให้ถูกต้องตามคำแนะนำของโรงงานผู้ผลิต นั่นก็คือ ต้องใช้สายพ่วงแบตเตอรี่เส้นใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10 มม. มาทำการพ่วงกับรถอีกคันหนึ่ง โดยทำตามนขั้นตอนดังนี้  นำสายบวกคีบเข้ากับขั้วบวกที่ใช้สำหรับพ่วงโดยเฉพาะซึ่ง l322 จะมีมองเห็นได้ชัด และนำสายบวกอีกด้านหนึ่งคีบเข้ากับรถยนต์คันที่นำมาพ่วงแบตเตอรี่  แล้วก็นำสายลบคีบเข้ากับกราวด์ของ l322 ซึ่งจะมองเห็นอยู่ และนำขั้วลบอีกขั้วหนึ่งคีบเข้ากับตัวรถคันที่จะมาพ่วง หลังจากนั้นติดเครื่องยนต์คันที่นำมาพ่วง เร่งเครื่องยนต์ประมาณ 2000 รอบ แล้วจึงมาสตาร์ทรถคัน l322 เท่านี้เครื่องก็ติดครับ แต่ยังไม่หมดกระบวนการครับ ตอนถอดสายไฟออกต้องถอดขั้วลบออกก่อนเสมอ แล้วจึงถอดขั้วบวกออกทั้งสองคัน เท่านี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการครับ  สิ่งสำคัญที่อธิบายมาเสียยืดยาวนี้ก็จะชี้ให้เห็นถึงรายละเอียดที่พวกเรามองข้ามในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป แต่จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้โดยที่ท่านไม่รู้ตัว เหมือนกับเรากำลังไปบั่นทอนสุขภาพรถของเราเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นจึงต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้สิ่งที่เรารักและหวงแหนอยู่กับเราไปนาน ๆ และไม่เสียจุกจิกก็พอใจแล้วครับ ดังนั้นก่อนพ่วงแบตเตอรี่ทุกครั้งต้องคิดอยู่เสมอว่าคีบขั้วบวกรถของเราแล้วคีบขั้วบวกของรถที่นำมาพ่วง จากนั้นก็คีบขั้วลบที่รถของเราแล้วก็คีบขั้วลบ่ของรถที่นำมาพ่วง หลังจากเสร็จแล้วก็ให้จำไว้เสมอว่าถอดขั้วลบก่อนเสมอครับ จำง่าย ๆ ครับอะไรที่ใส่ก่อนก็ถอดทีหลังครับ  เท่านี้รถของเราก็จะไม่เกิดปัญหาทั้งปวงครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 16, 2012, 03:50:52 PM
อ่านไม่ทันเลยครับพี่ ;D ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 16, 2012, 03:52:50 PM
Range rover  l322 technical specification

  เครื่องยนต์                                                                                                                     M62     เบนซิน                                                   M57   ดีเซล


ความจุของกระบอกสูบ                                                                                                           4398 cc                                                              2926 cc
จำนวนลูกสูบ                                                                                                                                 8                                                                    6
เสื้อสูบ                                                          แบบเรียง                                                                   V8                                                               
ความโตกระบอกสูบ                                                                                                                                 92                                                        84  mm
ระยะชัก                                                                                                                           82.7                                                                    88  mm
อัตราส่วนกำลังอัด                                                                                                             10.1                                                                    18.1
ฝาสูบ                                                                                                                                อลูมิเนียม                                                              อลูมิเนียม
เสื้อสูบ                                                                                                                               อลูมิเนียม                                                              เหล็กหล่อ
ระบบจุดรเบิด                                                                                                                     bosch 7.2                                                        bosch  DD4.0
จำนวนวาล์ว/สูบ                                                                                                                 4                                                                         4
กำลังสูงสุด                                                                                                                         210kw./5400rpm                                           130kw/4000rpm
แรงบิดสูงสุด                                                                                                                      440Nm/3600rpm                                           390Nm/2000rpm


ระบบส่งกำลัง

เกียร์                                                                                                                                   ZF5HP24                                                         GM5
อัตราทด  
เกียร์ 5                                                                                                                                0.80                                                                    0.75
เกียร์ 4                                                                                                                                1.00                                                                    1.00
เกียร์ 3                                                                                                                                1.51                                                                    1.60
เกียร์ 2                                                                                                                                2.20                                                                    2.21
เกียร์ 1                                                                                                                                3.57                                                                    3.42
เกียร์ถอยหลัง                                                                                                                      4.10                                                                     3.03
อัตราทดสุดท้าย                                                                                                                  3.73                                                                     4.10
อัตราทดเกียร์พ่วง ในตำแหน่ง High                                                                                   1.00                                                                     1.00
อัตราทดเกียร์พ่วง ในตำแหน่ง low                                                                                      2.70                                                                     2.70

shift on the move mph (kph)
in gear speed (kph/1000rpm)                  
high to low                                                                                                                     10(16)                                                                 10(16)
low to high                                                                                                                     30(48)                                                                 30(48)
5th high                                                                                                                           46.74                                                                   44.76
1st high                                                                                                                           10.47                                                                     9.86
1st low                                                                                                                              3.89                                                                      3.66

น้ำหนักตัวรถ(kg)

Unladen  (no options)                                                                                                2440                                                                   2435
Unladen  (all options)                                                                                                2570                                                                   2570
GVW                                                                                                                               3050                                                                   3050
Front(rear) split                                                                                                            1200 (1850)                                                      1200 (1850)
GTW                                                                                                                               6650                                                                   6650
Max braked trailer                                                                                                      3500                                                                   3500
Max front axle                                                                                                               1530                                                                   1530
Max rear axle                                                                                                               1850                                                                    1850
Down hitch load                                                                                                             250                                                                      250

PERFORMANCE

0-60mph                                                                                                                         TBC                                                                   TBC
0-100 kph                                                                                                                        9.2                                                                      13.6
Max speed Mph (kph)                                                                                               130  (208)                                                          111  (179)
Urban mpg  (1/100 km)                                                                                             12.7  (22.2)                                                        19.6  (14.4)
Extra Urban                                                                                                                   22.4  (12.6)                                                        30.1 (9.4)
Combined                                                                                                                     17.4  (16.2)                                                        25.0  (11.3)
Tank capacity  ltr                                                                                                        100                                                                      100
Range  mls (km)                                                                                                         384 (617)                                                           550 (885)
CO2 Emission g/km                                                                                                  5.22                                                                     (0.95)
Cd/Cda                                                                                                                         0.38/1.125                                                         0.38/1.126

STEERING

type                                                                                                                                Servotronic Rack and Pioion       Servotronic Rack and pinio
Turn lock to lock                                                                                                        3.5                                                                        4.5
Turning circle (kerb to kerb)                                                                                  11.6m                                                                  11.6m
Turning circle (wall to wall)                                                                                     12.6m                                                                  12.6m

BRAKES

Front Sizes mm                                                                                                           344x30                                                              344x30
Type                                                                                                                               Vented disc                                                    Vented disc
Rear Sizes mm                                                                                                           354x12                                                              354x12
Type                                                                                                                               Solid disc                                                        Solid disc


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 16, 2012, 05:36:16 PM
ขอบคุณมากครับ สำหรับ webmaster ที่น่ารักของพวกเรา สุดยอดจริง ๆ ครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ ได้ดั่งใจจริง  ๆ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 17, 2012, 10:40:24 PM
แค่นี้จิ๊บๆครับจัดเต็มไปเลยพี่ๆๆๆๆเข้ามารออ่านทุุกวันเลยครับๆๆๆๆๆวันไหนไม่ได้อ่านมันนอนไม่หลับครับๆๆๆ ;D ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 18, 2012, 07:55:30 AM
วันนี้พี่ตื่นแต่เช้าอากาศแจ่มใสเริ่มหนาวแล้ว อากาศแถวบ้านเร้นจ์ดีมากครับ เห็นมีเพื่อนสมาชิกอีกหลายคนรออนุมัติอยู่ รบกวนน้อง ๆ webmaster ช่วยอนุมัติด้วยนะครับ ขอบคุณครับ วันนี้ก็มีเรื่องมาคุยกันอีกเกี่ยวกับลมยางที่ถามกันเข้ามามาก ก็จะคุยให้ฟังเลยครับ

สำหรับเจ้า l322 ตัวนี้นั้น ล้อและยาง standard ที่ออกมาจากโรงงานนั้น จะเป็นลาย 6 ก้านกับยาง pirelli 255/55/19 ก็สวยงามครับ แต่เมื่อใช้งานไปยางหมดสภาพ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางใหม่ นี่แหละตัวเจ้าปัญหาเลยครับ เพราะว่ากะทะล้อแม็กนั้น std จะเป็น19" เมื่อ่จำเป็นต้องเปลี่ยนยางใหม่ ราคายาง สำหรับ19" นั้นค่อนข้างที่จะมีราคาสูง จึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนเป็นกะทะล้อ 20" มาใส่แทนเพราะว่าราคายางถูกกว่าครึ่ง และหาได้ง่ายกว่า 19" ส่วนมากแล้วเราจะหันมาใส่เจ้า stormer กับยาง yokohama parada 265/50/20 แทนครับ เห็น series ลดลงมา จาก 55 เป็น 50 ความนุ่มนวลในการขับขี่จะหายไปหรือไม่ ตอบได้เลยครับว่าเหมือนเดิมครับ แต่การเกาะถนน การเบรค การทรงตัวจะดีขึ้นตามมาครับ ลืมไปครับว่าท่านถามเรื่องลมยางมาว่าต้องเติมเท่าไร  ลมยางหน้านั้น 34lb/in  ลมยางหลังก็ 36 lb/in ครับ แต่ถ้าจะต้องบรรทุกมากขึ้นหรือบรรทุกผู้โดยสารมากขึ้นเป็นประจำก็ไปดูได้ที่เสาประตูหน้าขวาครับจะมีบอก spec เรื่องลมยางไว้ครับ แตถ้าจะให้สุดไปเลยก็ขอแนะนำเป็น 22" ไปเลยครับบ  285/35/22 นั่นคือขนาดของยางที่ใช้ครับ ส่วนยางที่พวกเราไว้ใจก็หนีไม่พ้น yokohama parada ตัวเดิมครับ  ส่วนตอนนี้ก็มียางสายพันธุ์อเมริกาเข้ามาครับ pirelli ต้องขอเวลาทดสอบอีกสักระยะหนึ่งแล้วจะนำผลที่ได้มาแจ้งให้ทราบครับตอนนี้กำลังใส่ทดสอบวิ่งดูอยู่ครับ หากว่าผลเป็นที่น่าพอใจเราก็จะแนะนำเพื่อนสมาชิกต่อไปครับ เพราะว่าเท่าที่ใช้ดูแล้วความนุ่มนวลนั้นไม่ได้หายไปมากมายนัก เพราะว่าซุ้มล้อสำหรับเจ้า l322 นั้นใหญ่มาก ขนาดใส่ mag 22" ยังมองดูเล็กเลยครับ  แต่ที่ usa นั้น เขาใส่กันถึง 24" ครับ สุดยอดไปเลยครับแต่ไม่เหมาะสมกับสภาพถนนบ้านเราครับและราคายางก็แพงมากเกินไป และในเมืองไทยก็ยังไม่มีขายด้วย ดังนั้นถ้าอยากสวยและประหยัดเวลาจะเปลี่ยนยางไม่แพงแล้วล่ะก็ 20" นั้นเป็นตัวเลือกที่น่าเก็บไว้พิจารณาครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 18, 2012, 08:42:48 AM
ที่จริงแล้วในกระทู้นี้ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ กับเจ้า l322 อย่างเดียว แต่ก็เขียนมาตั้งหลายวันแล้วยังไม่ได้ขึ้นมาเลยสักหัวข้อ เดี๋ยวเพื่อนสมาชิกที่ติดตามอ่านอยู่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีก เอ้าเอาซักเรื่องนึงก่อน เดี๋ยวนึกก่อน เอ้า โอมมะลุกตุ๊กตุ๋ย  ว่าแล้วก็ล้วงลงไปในกระเป๋าโดเรม่อน หยิบอะไรออกมาใบนึง ได้ออกมาแล้วครับผลออกมาได้ลอตเตอรี่มาใบนึงครับ ไม่ใช่ล้วงใหม่  (ล้อเล่นขำ ๆ ครับอย่าไปเครียด)

เรื่องแรกได้แก่ระบบบังคับเลี้ยว  ทำไมต้องเป็นเจ้าตัวนี้ด้วยเห็นรถคันออกใหญ่โตทำไมระบบบังคับเลี้ยวถึงมีปัญหาได้ แล้วจะเชื่อใจได้อย่างไร จะมีความมั่นใจขนาดไหน เสียว ๆ เหมือนกันใช่ไม๊ล่ะ ไม่ต้องตกก๊ะใจหรอกครับในเมื่อทีมวิศวกรเขาได้ผ่านการทดสอบตามหลักวิชาการของเขามาแล้ว และได้ถูกใส่ใช้งานมานานแล้ว ที่เราจะมาคุยนี้จะมาคุยถึงปัญหาการใช้งานครับ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นคงจะจำได้ว่าเจ้า l322 ตัวนี้นั้นเป็นรถที่ไม่มี chassis ตัวถังนั้นจะเป็นโมโนค็อคเหมือนรถเก๋งทั่ว ๆ ไปครับ ด้วยการที่เป็นรถที่ไม่มีchassis มารองรับ และเป็นอิสระทั้งสี่ล้อใช้ตัวถังเป็นจุดยึดและใช้คานยึดแท่นเครื่องเข้ากับตัวรถ เวลาที่จะต้องยกเครื่องยนต์ลงมาทำการ services ก็จำเป็นที่จะต้องถอดยกออกมาทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่มีจุดไหนแข็งแรงพอที่จะยึดกระปุกพวงมาลัยได้ นี่แหละจึงได้เป็นเหตุผลหนึ่งที่เจ้า l322 ตัวนี้ไม่มีกระปุกพวงมาลัยสำหรับบังคับเลี้ยวเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อโดยทั่วไป ท่านอาจจะถามว่าไม่มีกระปุกพวงมาลัยแล้วรถจะวิ่งได้อย่างไร ก็ด้วยเหตุผลที่เราไม่มี chassis ที่จะยึดกระปุกพวงมาลัยนี่แหละ ทางทีมวิศวกรผู้ออกแบบจึงได้นำระบบบังคับเลี้ยวแบบรถเล็กที่ใช้ก็คือ rack and pinion เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ทุกท่านคงจะนึกภาพออกนะครับ  มาใส่ไว้แทนและเจ้าตัว rack and pionion นี้ก็ได้ถูกยึดติดกับแพของเครื่องยนต์  ระบบบังคับเลี้ยวของ l322 นี้จะแตกต่างจากนังอ้วนโดยสิ้นเชิงครับ เพราะว่านังอ้วนมี chassis มีคานแข็งรองรับระบบกันสะเทือนทั้งสี่ล้อ ดังนั้นจึงใช้กระปุกพวงมาลัยได้และแบบที่ใช้จะเป็นแบบ worn and sector มันจะแตกต่างกันตรงไหนครับระหว่างกระปุกพวงมาลัยกับ rack พวงมาลัย  อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่นะนครับว่ารถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นน้ำหนักตัวเองนั้นก็เข้าไปตั้ง 2 ตันกว่าแล้ว ดังนั้นความแข็งแรง ความคงทน ต่อสภาพการใช้งาน และสภาพถนนในเมืองไทยด้วยแล้ว ภาระที่หนักหน่วงมีอยู่ หลายอย่างที่จะได้รับ ส่วนที่ได้รับหนัก ๆ เลย ก็มี กระปุกพวงมาลัย นี่แหละ ที่จะต้องรับแรงกระแทกกระทันจากสถาพถนนก่อนที่จะถึงมือผู้ขับขี่  จะสังเกตุได้ง่าย ๆ ว่า นังอ้วนนั้นไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องกระปุกพวงมาลัยเลย จะมีเพียงก็น้ำมันรั่วซึมทที่ seal ตัวบนกับตัวล่างเท่านั้น แล้วทีมวิศวกรผู้ผลิตใส่เจ้า rack and pionion มาทำไม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 20, 2012, 08:43:00 AM
เมื่อมองดูถึงขึดความสามารถ ข้อจำกัดต่าง ๆ แล้วพี่คิดว่าทางทีมวิศวกรเองเขาก็คงจะหมดทางเลือกเหมือนกัน เพราะในเรื่องห้องเครื่องยนต์ที่คับแคบ ในเรื่องที่จะต้องมีคันชักคันส่งอีก มีหลายสิ่ง  หลายอย่างที่ต้องเพิ่มขึ้นมาซึ่งดูแล้วคงจะเป็นอะไรที่ไม่ลงตัว ทีมงานออกแบบจึงต้องใส่เจ้า rack ตัวนี้เข้ามา ก็ต้องทำใจในเรื่องของความแข็งแรงคงทนต่อสภาพการใช้งานอาจนจะไม่มีอายุยืนยาวเท่ากับกระปุกพวงมาลัย แต่ก็ใช้งานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการวิ่งความเร็วสูง หรือในสภาพทุรกันดาร ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเสียเลยทีเดียว ข้อดีก็มีครับ การที่ใช้เจ้า rack ใส่เข้ามานั้นทำให้วงเลี้ยวในการ u turn นั้นแคบลง วงเลี้ยวแคบ่กว่า p 38 ครับ สำหรับนังอ้วนนั้น บางคันเลี้ยวไม่พ้นฟุตบาธ ครับ บางครั้งต้องถอยหลังอีกครั้ง แต่ถ้ามุมล้อได้จะเลี้ยวได้พอดีครับ ดังนั้นเจ้านังอ้วนที่เลี้ยวไม่พ้นฟุตปาธ ต้องรีบดำเนินการแก้ไขมุมล้อด่วนครับ ต้องลองเช็คตัว stopper ที่ล้อดูว่าระยะที่โรงงานผู้ผลิตกำหนดนั้น ไม่น่าจะเกิน 1.50cm ครับ เอ้าเลยไปหน่อยนึง กลับมาที่ rack ของเจ้า l322 กันดีกว่าครับ ส่วนข้อเสียนั้น  ก็มีหลายอย่างเหมือนกัน
ในอันดับแรกเลยก็เรืองปัญหาของน้ำมันเพาเวอร์พวงมาลัยรั่วซึมที่ซีลปลาย rack ทั้งสองด้าน
ในอันดับต่อมาก็เรื่องเสียงดังที่บู้ชบังคับราง rack ส่วนมากแล้วจะดังที่ด้านซ้ายครับ
และในอันดับสุดท้ายก็ลูกหมากปลาย rack และลูกหมากที่ล้อครับ
ส่วนในตัวของ joint ที่แกนพวงมาลัย ไม่ค่อยมีปัญหาครับ
สิ่งที่มีเพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้ก็คือ  เจ้าตัว sensor พวงมาลัยครับ เป็นอุปกรณ์ electronics ที่ใส่มากับรถรุ่นนี้ เจ้าตัวนี้ทำหน้าที่อะไร


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 20, 2012, 01:29:30 PM
ชื่ออย่างเป็นทางการของเจ้า sensor ตัวนี้ก็คือ servotronic valve ตัวมันเองมีหน้าที่ปรับแรงดันน้ำมันเพาเวอร์ให้พวงมาลัยหนักหรือเบาแปรผกผันกับความเร็ว หรือพูดง่าย ๆ เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือในเวลาที่ไม่มี load หรือความเร็วเข้ามาเกี่ยวข้อง พวงมาลัยจะเบา เมื่อรถมีความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เจ้า servotronic ตัวนี้จะทำการปรับแรงดันทำให้พวงมาลัยหนักขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่บังคับทิศทางของรถได้ง่ายและปลอดภัย

จะเห็นได้ว่ายุ่งยากพอสมควรกับระบบบังคับเลี้ยวที่เป็นครั้งแรกในโลกของ land rover เลยก็ว่าได้ที่นำเอา rack and pinion มาใส่ไว้ใน land rover รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อเจ้าตำนานของเจ้าพ่อ off road ฉบับผู้ดีอังกฤษ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 20, 2012, 01:38:33 PM
เขียนมาตั้งนานบทสรุปก็อยู่ตรงนี้นี่เอง

ข้อดีของ rack l322
วงเลี้ยวแคบ ชิ้นส่วนที่น้อยลง ที่ติดตั้งแคบก็ติดตั้งได้ มีอุปกรณ์ electronics และ ecu มาใช้ร่วมกัน ความสะดวกสะบายขึ้น พวงมาลัยเบา

ข้อเสียของ rack l322
อายุการใช้งานสั้น ต้องพบกับปัญหาน้ำมันเพาเวอร์รั่ว เสียงดังในเวลาขับขี่ ความแข็งแรงน้อยลง  มีราคาแพง และน้ำมันเพาเวอร์ที่ใช้นั้น ต้องใช้ของ land rover เท่านั้น ข้อสำคัญ เวลาเสียต้องเปลี่ยนทั้งอัน ยังไม่มีชุด repair kit ออกมาขายครับ

ถ้าจะเทียบกระปุกพวงมาลัยของนังอ้วน กับ rack ชอง l322 แล้วล่ะก็ นังอ้วนกินขาดครับ รถบางคัน ตอนนี้ก็ 17 ปีแล้ว seal ยังไม่รั่วเลยครับ และก็ยังไม่เคย overhaull เลยครับ มีปรับตั้งระยะห่างบ้างเป็นเรื่องปกติธรรมดา น้ำมันเพาเวอร์ก็ใช้น้ำมัน เกียร์ออโต้นี่แหละครับ ง่าย ๆ หาซื้อเติมได้ตลอด ราคาก็ไม่แพง


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 20, 2012, 01:54:51 PM
ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็มีอีกตัวหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ตัวนี้ก็มีปัญหาบ่อยเหมือนกันครับ บู้ชยางปีกนกล่าง ทั้งหน้าและหลัง ส่วนมากใช้งานไปแล้วก็จะเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ถ้าบู้ชยางสึกหรือเสื่อมสภาพ เวลาออกตัวหรือหยุดทันทีทันใด จะรู้สึกเหมือนกับว่าล้อหรือปีกนกไม่แน่น สำหรับบู้ชนี้สามารถถอดเปลี่ยนได้มีแบบแยกชิ้นขายไม่ต้องซื้อทั้งปีกนก หรือจะเลือกซื้อทั้งปีกนกก็ได้ครับ แล้วแต่ว่าจะสะดวกแบบใด


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 20, 2012, 02:05:15 PM
โดยทั่วไปแล้วถ้าจะกล่าวถึงระบบอิสระ กันจริง ๆ แล้ว นั่นก็จะหมายถึง จะมีทั้งปีกนกล่าง ปีกนกบน และ coil spring และ shock absorber เป็นหลัก  แต่สำหรับเจ้า l322 นั้นคงจะไม่ได้เป็นแบบที่กล่าวมา เจ้า l322 นั้นมีแต่ปีกนกล่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนปีกนกบน coil spring และ shock absorber นั้น จะถูกนำเข้าไปรวมกันไว้ กล่าวคือ มองง่าย ๆ ก็คือการนำเอา shock absorber แบบ macpherson strut มาดัดแปลง ตัด spring ออกไปนำเอาเจ้ถุงลมมาใส่เข้าไปแทน แล้วก็ตัดปีกนกบนออกไป  นี่แหละครับถุงลมของระบบ air suspension ของ l322 ถุงลมที่มาพร้อมกับshock absorber คงต้องไปคุยกันในระบบ air suspension นะครับ ตรงนี้เราจะคุยกันในเรื่องระบบบังคับเลี้ยวก่อน ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับอย่าเพิ่งเบื่อ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 20, 2012, 07:51:13 PM
เราคุยกันมาตั้งนานแล้วบางท่านยังไม่ทราบเลยว่า เจ้า l322 ที่เห็นกันอยู่นี่ตกลงมันมีม้าอยู่กี่ตัวกันแน่ ถึงได้ให้พละกำลังมหาศาลแบบนี้ เอาง่าย ๆ เลยว่า นังอ้วนนั้นมีม้าอยู่ทั้งหมด 225 ตัวครับ ตอนออกมาใหม่ ๆ นะครับ ความเร็วสูงสุดก็ สองร้อยกว่า ๆ ครับ นั่นสมัยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วครับ ตอนนั้นม้ายังอยู่ครบทุกตัว และทุกตัวก็ยังหนุ่มยังแน่น  ตอนนี้ม้าแก่แล้วก็ตายลงไปบ้างครับ ตอนนี้ควบได้ร้อยปลายก็เรียกว่าใช้ได้แล้วครับ นังอ้วนนั้นเครื่องยนต์ 4600 cc นะครับ ยังได้แค่นี้ แต่ก็อีกนั่นแหละครับเครื่องยนต์ของ  Land rover แทบจะทุกรุ่นนั้นเน้นแรงบิดที่รอบต่ำซะมากกว่า  แต่เจ้า l322 เครื่องยนต์เล็กลงเหลือเพียงแค่ 4400 cc เท่านั้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่าสามารถให้ม้าออกมาถึง 285 ตัวครับ ความเร็วสูงสุดใน spec ระบุไว้เพียง 208 km/hr แต่ที่เห็นวิ่งกันจริง ๆ ได้มากกว่านั้นก็อาจจะอยู่ที่ส่วนประกอบของล้อและยางเข้าไปด้วยครับที่ทำให้ได้ความเร็วสูงขึ้นไปอีก สงสัยไม๊ล่ะครับว่าทำไมความจุกระบอกสูบลดลงทำไมถึงได้ม้าเพิ่มขึ้น ข้อแรกก็ด้วย technology สมัยใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาใส่มาในเครื่องยนต์ block นี้ มีการนำ vcc valve มาใส่ลงไปด้วย ข้อสองก็ในเรื่องของน้ำหนักตัวที่ลดลงมามาก ข้อสามก็ด้วยเรื่องของพลศาสตร์ ข้อสี่ก็ในเรื่องของระบบส่งกำลังที่ได้เกียร์ตัวนี้มาใส่ก็ลงตัวกับ ZF 5HP24


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 22, 2012, 08:40:47 AM
เอ้าเลยไปกันใหญ่เลยเดี๋ยวกลับเข้ามาในระบบบังคับเลี้ยวกันก่อนยังไม่หมดครับ จาก rack  พวงมาลัย บู้ชปีกนกล่างแล้ว เราอยู่กันหน้าห้องเครื่องก็ต้องวกกลับเข้าไปในห้องโดยสารนิดนึงครับ ในระบบบังคับเลี้ยวนั้นก็คงจะขาดเจ้าตัวนี้ไม่ได้ครับ ก็เจ้าพวงมาลัยไงล่ะครับ เวลาขับรถเขาจะอยู่ใกล้กับเรามากที่สุด เราจะไว้วางใจเขามากที่สุดใช่ไม๊ล่ะครับ ก็คงต้องวกกลับเข้ามาในห้องโดยสารกันหน่อยนึงครับ เพื่อที่จะดูว่าทางทีมวิศวกรมีอะไรใหม่ ๆ ใส่มาให้พวกเราเล่นบ้าง สำหรับเจ้า l322 นั้น เวลาที่บิดกุญแจไปในตำแหน่ง on  เจ้าพวงมาลัยจะปรับเองตามตำแหน่งที่เจ้าของรถได้ memory เอาไว้ และเมื่อปิดสวิทย์กุญแจพวงมาลัยก็จะเคลื่อนตัวกลับไป สำหรับพวงมาลัยในรุ่นนี้ได้รับการออกแบบมาใช้ร่วมกับระบบไฟฟ้า การปรับตั้งก็ดีการเปลี่ยนตำแหน่ง ไปในทิศทางต่าง ๆ ก็ดีตรงนี้ออกแบบมาให้ใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อนครับ ในเมื่อมีระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องก็มีโอกาสที่จะเสียเป็นธรรมดาครับ ผิดกับนังอ้วนยังคงใช้ระบบ manual อยู่ครับจึงไม่ค่อยจะมีปัญหายุ่งยากเท่าไร บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านังอ้วนสามารถปรับพวงมาลัยได้ ยืดก็ได้ หดก็ได้ ขึ้นหรือลงก็ได้เช่นกันครับ

สำหรับเจ้า l322 นั้น ถ้ายังจำได้ที่พี่ปัญจะเขียนไว้ในเรื่องของกุญแจสตาร์ท จะดึงได้ก็เพียงตำแหน่งเดียวคือ park นี่เป็นกรณีที่มีไฟแบตเตอรี่เต็ม แต่ถ้าในกรณีที่ไฟแบตเตอรี่หมด อยากจะเข็นรถเคลื่อนที่ อยากจะดึงคันเกียร์ไปที่ N ก็คงจะต้อง say no sorry เสียใจด้วยวครับที่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะสวิสช์กุญแจตัวนี้จะใช้ร่วมกับ solinoid ถ้าไม่มีไฟแบตเตอรี่มาเลี้ยง จะไม่ทำงานดังนั้นในเรื่องของ แบตเตอรี่เป็นสิ่งจำเป็นมากครับสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องเกี่ยวข้องกับ power source ตัวนี้


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 22, 2012, 09:11:12 AM
สำหรับที่วงพวงมาลัยนั้นก็มาในสไตล์เดิมครับ ทุกอย่างได้ถูกออกแบบมาให้บังคับได้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ cd changer cruise control มีระบบโทรศัพท์เพิ่มเข้ามาท่านสามารถกดโทรออกรับสายได้จากพวงมาลัยนี้เลย ถ้ากำลังฟังเพลงอยู่ กดไปที่ปุ่ม R/T ก็จะเป็นโทรศัพท์  หลังจากนั้นก็กดปุ่ม ที่มีตัว p ใต้สุดลงมาจะโทรออกหรือรับสายก็ตามแต่สะดวกครับ เอาไว้ค่อยไปคุยกันในรายละเอียดลึก ๆ ในแต่ละเรื่องครับ วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่เสียกันอยู่บ่อย ๆ ก่อน ส่วนมากแล้วในห้องโดยสารสำหรับรุ่นนี้นั้น ที่เสียแล้วมีปัญหาอยู่บ่อย ๆ ก็เห็นจะได้แก่ไอ้เจ้า INSTRUMENT PANEL กับเจ้า MFD หรือ MID  โอ้โฮอะไรของพี่แกเนี่ย อ่านแล้วงงกับศัพท์ทางวิชาการ ไม่ต้องงงหรอกครับง่าย ๆ เข้าใจง่ายครับ ไอ้เจ้า INSTRUMENT PANEL นั้นก็คือเจ้าตัวจอหน้าปัทม์ที่อยู่ต่อหน้าเรานั่นแหละครับ ศูนย์รวมข้อมูลต่าง ๆ ของรถเพื่อที่จะแจ้งให้เราทราบว่ารถยนต์นั้นสมบูรณ์เพียงใด มีข้อบกพร่องอะไรบ้าง โดยส่วนมากตามหลักสากลกันแล้ว เวลาเปิดสวิสช์กุญแจในตำแหน่ง on ไฟสีแดงทุกอย่างจะโชว์หมดและจะค่อย ๆ ดับไปทีละดวง ๆ จนกระทั่งเหลืออยู่บางดวง จนกว่าท่านจะสตาร์ทเครื่องยนต์จึงจะดับไป ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบก็จะมีบางดวงปรากฎอยู่ เพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบว่าขณะนี้รถยนต์ของท่านไม่สมบูรณ์ แต่สำหรับเจ้า l322 นั้นได้มีหน้าจอ display มาให้เหมือนกับเจ้านังอ้วนเหมือนกัน พร้อมกับข้อความอีก 150 ข้อความที่จะแจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบ วันนี้พี่ปัญจะเองจะคุยในเรื่องความผิดปกติของเจ้า 3 ตัวนี้เท่านั้น ส่วนอื่นนั้นคงต้องเจาะลึกลงไปอีกในวันข้างหน้าครับ

INSTRUMENT PANEL ในเจ้า l322 นั้นได้รับการออกแบบและพัฒนามาค่อนข้างที่จะสวยงามลงตัว ทีเดียว ข้อดีนั้นมีมากมาย ส่วนข้อเสียนั้นก็มีเป็นหลักเลยก็คือ ตัวหนังสือที่ show อยู่นั้นไม่เต็มจะเป็นแบบนี้แทบทุกคัน ดังนั้นจึงควรตรวจสอบดูให้ดีก่อนที่จะซื้อหรือเลือกรถคันนี้เข้ามาเพราะว่าไม่สามารถซ่อมได้ต้องเปลี่ยนเพียงสถานเดียวครับ

MID คืออะไร  ไอ้เจ้า MID ตัวนี้เป็นชื่อเล่นของมัน ชื่อเต็มของเขา Multi Information Displayถ้าคุยกันง่าย ๆ ก็ตัววิทยุนั่นแหละครับ สำหรับวิทยุในที่ใส่มาในรุ่นนี้ถือว่าขั้นเทพแล้ว ถ้าท่านได้ขับรถรุ่นนี้แล้วฟังเพลงไปเรื่อย ๆ เป็นอะไรที่ลงตัวกับ harman kardon set นี้  ข้อดีก็มากมายครับ แต่ข้อเสียกเหมือนกับ INSTRUMENT PANEL เช่นกันครับ ตัวหนังสือไม่ครบ สำหรับเจ้า MID ตัวนี้จะมมีใส่มาในรุ่นธรรมดาเท่านั้นครับ ส่วนในรุ่น top นั้น เขาจะใส่เจ้าตัว MFD มาครับ แล้วมันต่างกันยังไง เจ้าตัว top กับตัวธรรมดา


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 22, 2012, 01:15:20 PM
ที่เห็นอยู่ในรูปภาพข้างบนนั้นจะเป็นจอแบบ MFD ครับ หน้าจอแบบนี้จะมีอยู่ในรุ่น top เท่านั้นครับ ขอบคุณคุณภูธาร ที่ลงรูปภาพสวย ๆ มาให้พวกเราได้ดูกัน เจ้า MFD นั้นก็เป็นชื่อเล่นของเขาครับ ชื่อเต็มของเขา MULTI FUNCTION DISPLAY ครับ  ในตัวของ MFD ตัวนี้นอกจากจะเป็นวิทยุแล้วยังเป็น
On board computer television
GPS Navigation
Telephone
ในตัวอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องใส่มาในรุ่น top เท่านั้น เพราะว่าสนนราคาจะแพงกว่าตัวธรรมดามาก และในตัว top นั้นจะสังเกตุได้อย่างไรว่ารถคันนี้เป็นรุ่น top ก็มีที่สังเกตุอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ถ้าภายในรถก็ตรง facia รุ่นนี้จะถูกหุ้มด้วยหนังเย็บลายตะเข็บอย่างดี ส่วนที่แผงประตูตรงมือเปิดดึงเข้าออกก็จะถูกหุ้มด้วยหนังแท้เย็บโชว์ตะเข็บ ก็จะเห็นจอ MFD ได้ไม่ยาก ที่สังเกตุได้ง่าย ๆ อีกข้อหนึ่งก็คือเบาะสำหรับเจ้าตัว top นั้น ตัวเบาะเองก็จะสามารถปรับเอนได้สองท่อน ส่วนเจ้า head rest นั้นก็จะมีรูปทรงที่แตกต่างจากธรรมดาไป สุดท้ายเลยถ้ามองที่ด้านท้ายของตัวรถ จะต้องมีคำว่า VOGUE ติดอยู่ที่ด้านหลังทางขวาทุกคันครับ แต่ขอบอกก่อนนะว่ารุ่น top ในเมืองไทยนั้นมีไม่ถึง 20 คันครับ อีกอย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับ Range rover มานมนานนั่นก็คือ Sun roof ครับสำหรับตัว top จะมีใส่มาให้ ในส่วนตัวธรรมดานั้นจะไมมีครับ

ในส่วนสีเบาะหนังภายในนั้นก็จะเป็น two tone เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ ถ้า facia เป็นสีครีม เบาะหนังก็จะเป็นสีครีม พื้นสีน้ำเงิน  หรือเบาะสีน้ำเงิน พื้นสีนำเงิน หรือดำทั้งหมด ภายในห้องโดยสารนั้นส่วนใหญ่ก็จะประกอบไปด้วยพลาสติกเสียเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาที่พบส่วนใหญ่แล้วก็เรื่องสีที่เคลือบอยู่ตามตัวพลาสติกต่าง ๆ นั้นลอกหลุด ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเราก็จะทำการ recondition กันครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 23, 2012, 10:40:26 AM
เดี๋ยวจัดหารูปลงประกอบให้ครับแต่เขียนช้าๆหน่อยนะลงรูปตามให้ไม่ทันครับบบบบพี่ๆๆ ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 24, 2012, 08:56:54 AM
ได้ครับ จัดให้ตามคำขอครับ เพื่อนสมาชิกที่ติดตามอ่านอยู่ต้องค่อย ๆ อ่านไปนะครับ ขอเบรคหน่อยหนึ่งตามคำขอของ webmaster  ขอบคุณที่ติดตาม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 29, 2012, 08:47:04 AM
ในเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องโดยสารกันแล้ว วันนี้มาคุยกันในเรื่องใกล้ ๆ ตัวอีกเรื่องนึงครับ เป็นตัวที่สำคัญตัวหนึ่งเหมือนกันในเวลาขับขี่ ลองนึกดูสิครับว่าตัวอะไรที่เวลาเราขับรถต้องใช้เขาอย่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเลี้ยวซ้าย ขวา จะแซง เปลี่ยนเลน หรือแม้แต่จะถอยหลังเข้าจอดก็ต้องใช้เขา ขอตอบเลยก็แล้วกันครับ  กระจกมองข้างไงล่ะครับ สำหรับกระจกมองข้างที่ใส่มาในเจ้า L322 นั้นไม่ธรรมดาครับ  ฟังก์ชั่นเดิมยังอยู่ครบครับ ใส่เกียร์ ถอยหลังกระจกจะก้มเหมือนเดิม ตัวอุ่นกระจกก็ยังเหมือนเดิม ที่มีเพิ่มเข้ามาก็คือสามารถพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า และในบางรุ่นมีตัดแสงได้ ซึ่งใน นังอ้วนนั้นพับไม่ได้ด้วยไฟฟ้า

ทำไมเราต้องมาคุยกันถึงเรื่องกระจกมองข้างตัวนี้ด้วยล่ะครับไม่เห็นจะมีความสำคัญอะไรเลย ขอบอกได้เลยครับว่าสาเหตุของอุบัติเหตุอันดับหนึ่งของเจ้า L322 ตัวนี้ก็อยู่ที่เจ้าตัวนี้แหละครับ กระจกมองข้างตัวนี้มีมุมอับที่ท่านไม่สามารถมองเห็นได้กว้างทำให้ในบางครั้ง ในบางมุมท่านจะไม่สามารถมองเห็นรถที่อยู่ด้านหลังเลย หายไปทั้งคัน ถ้าวันใดเกิดท่านขับรถตามเจ้า l322 ตัวนี้แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ให้อภัยเถอะครับ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนี่แหละครับ มุมมองสำหรับเจ้ากระจกรุ่นนี้ไม่ดีเท่า นังอ้วนครับ นังอ้วนนั้นมุมมองจะกว้าง ปลอดภัยท่านจะไม่ต้องกังวลสำหรับเรื่องนี้ แต่สำหรับเจ้า L322 ตัวนี้นั้นเป็นสิ่งที่ท่านต้องระวังป็นอันดับหนึ่ง ในการที่จะเปลี่ยนเลนก็ดี หรือจะเข้าจอดก็ดีควรจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

ทางแก้ไขก็พอจะมีอยู่บ้างครับ อาจจะหากระจกโค้งดวงกลม ๆ เล็ก ๆ ไปติดไว้ที่ปลายกระจกมองข้างด้านล่าง เจ้ากระจกดวงนี้จะช่วยได้มากครับ จะทำให้ท่านไม่มีปัญหากับรถทางขวาหรือทางซ้ายที่ขับตามหลังท่านมา เพราะในเวลาเปลี่ยนเลน เรามองไม่เห็นรถคันหลังด้านข้างหรอกครับ พอหันหัวออกไปก็ไปโดนรถคันทางขวาพอดี ถ้าเขาไม่เบรคก็ชนแน่นอนครับ ดังนั้นจึงต้องควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งสำหรับกระจกมองข้างสำหรับเจ้า L322 นี้


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ ตุลาคม 29, 2012, 10:05:06 PM
ความรู้ทั้งนั้น  เยี่ยมเลยพี่  พเดทเร็วๆนะ รออ่านอยู่


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 30, 2012, 09:12:04 AM
อยากเขียนครับ แต่คนลงรูปมัวแต่พา 2012 ไปเที่ยวอยู่ ถ้าคุณโตว่างช่วยลงรูปให้พี่บ้างละครับ ยังมีที่พวกเราไม่รู้อีกมากจะค่อย ๆ ทยอยนำมาให้อ่านกันที่จริ งแล้วถ้ามี flash drive มาเสียบที่สมองพี่ได้ดูด file นี้ไปได้ก็ยินดีครับ อยากให้ทุกคนมีความรู้จะได้ใช้กันอย่างหนุกหนานครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 30, 2012, 07:49:53 PM
ในเมื่อเราคุยกันถึงเรื่องกระจกมอง่นข้างกันแล้วก็จะมาว่ากันต่อในเรื่องการใช้งานไปเลยทีเดียว ก็อย่างว่าแหละครับอะไรที่มีระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็จะต้องมีสิ่งยุ่งยากตามมาอีกมากมาย ถ้าจะให้ทนทานใช้งานน๊านนานก็ของเจ้า p38 นั่นแหละครับ ทนนานมาก จะเสียก็แต่เฟืองปรับกระจกที่มีอยู่สองตัวเล็ก ๆ นั่นแหละครับ ถ้าไม่ชำรุดก็ใช้ไปนาน แต่ถ้าใช้มือไปดันโดยที่ไม่ใช้สวิสช์ฟปรับไฟฟ้าเมื่อไรก็หักครับ ดังนั้นเจ้านังอ้วนนั้นไม่ควรใช้มือดันกระจกมองข้างครับ และอีกอย่างที่เสียบ่อยก็เรื่องกระจำสั่นที่ความเร็วสูงครับ และที่เสียทุกคันก็คือถอยหลังไม่ยอมก้ม ก็ถือว่ายังใช้ได้ครับ ถ้าเราใส่ mode mirror dip off ไว้ ส่วนของเจ้า l322 นั้นเวลาเสียก็จะสังเกตุได้ครับ กดพับแล้วเด้งออกไปคืน กดพับแล้วไม่ยอมพับ ถอยหลังไม่ก้ม แถมวิ่งความเร็วสูงก็สั่นเหมือนกัน ถ้าเทียบกันแล้วกระจกมองข้างของ l322 นั้นค่อนข้างที่จะเปราะบางกว่า ดังนั้นต้องควรระมัดระวังในสิ่งนี้ด้วยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 30, 2012, 08:31:49 PM
มีน้องคนหนึ่งถามมาว่าเวลาที่จะใส่ เกียร์ low จะต้องทำประการใด ขอบคุณสำหรับคำถามครับเป็นคำถามที่ดีมากทีเดียว อย่างนี้ต้องคุยกันตั้งแต่ต้น นั้นก็คือ Land rover ทุกคันถูกออกแบบมาให้เป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full Time ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง HI หรือLOW ก็จะขับเคลื่อนสี่ล้อตลอด ถามว่าข้อดีกับข้อเสียระหว่าง Full Time  กับ part time นั้นมีอะไรแตกต่างกันบ้าง ถ้าจะคุยกันจริง ๆ ล่ะก็ยาวครับ เอาง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ครับ การยึดเกาะถนนดีกว่าในทุกสภาพถนน ไม่มีลื่นไถล ขับขี่ในความเร็วสูง มั่นใจ ปลอดภัย ส่วนข้อเสียก็เรื่องของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า การ maintenance ที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ดังนั้นก่อนการตัดสินใจซื้อรถก็ควรที่จะพิจารณาดูการใช้งานที่แท้จริงว่าท่านต้องการแบบใดเป็นหลัก

ก็ย้อนกลับไปถึงนังอ้วนสักนิดหนึ่ง นังอ้วนนั้นถ้าผู้ที่ไม่เคยใส่เกียร์ low เลยก็คงจะใส่ไม่ถูกต้อง และอาจจะเกิดผลเสียต่อตัวควบคุมทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะใส่เกียร์ low ต้องดึงคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง N ในด้าน HI ถ้าดูง่าย  ๆ ก็คือจะมีด้านที่มีไฟสีเขียวติดอยู่ เสร็จแล้วก็ค่อย ๆ ผลักคันเกียร์ไปทางด้านสีแดง ให้ไปอยู่ที่ตำแหน่ง N เช่นกัน รอไว้จนกระทั่งไฟสัญญาณสีแดงหยุดกระพริบ  หรือที่จอหน้าปัทม์ ขึ้นคำว่า LOW หรือเสียงสัญญาณเตือน 3 ครั้ง หลังจากนั้นจึงค่อยใส่ไปที่ตำแหน่งต่าง ๆ ได้ครับ ถ้าท่านไม่ปฏิบัติตามนี้ ใส่เกียร์ไปเลยโดยที่ไม่รอให้สัญญาณต่าง ๆ หยุดลง ไฟสัญญาณจะกระพริบอยู่ตลอดเวลา และหน้าจอจะขึ้นคำว่า SELECT NEUTRAL ความหมายก็คือให้ใส่เกียร์ว่างครับ ถ้าท่านไม่ปฏิบัติตามก็จะทำให้ ecu ที่ควบคุมเกียร์พ่วงกับ motor เกียร์พ่วงชำรุดเสียหายได้ครับ  ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินโดยไม่จำเป็นก็ควรระมัดระวังก่อนที่จะเข้าไปใน mode นี้ครับ

ก็เลยไปถึงนังอ้วนนิดหนึ่งครับ แต่สำหรับเจ้าL322 นั้นไม่มีอะไรยุ่งยากมากนักครับ เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสเบา ๆ ไปที่ สวิสช์ hi low  เท่านี่เกียร์ก็ทำงานแล้วครับ ก็ต้องดูที่หน้าจอ display ด้วยนะครับ ถ้าเป็นเกียร์ hi จะขึ้นคำว่า HI RANGE ถ้าเป็นเกียร์ LOW จะขึ้นคำว่า LOW RANGE ครับ ง่าย ๆครับ แต่ก็มีข้อจำกัดในการใส่เกียร์ low อยู๋ข้อหนึ่งสำหรับ l322 ตัวนี้ ก็คือ ก่อนที่จะใส่เกียร์ low หรือ hi ทุกครั้งนั้นจะต้องทำขณะที่รถติดเครื่องยนต์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ N เท่านั้น ลองทำดูง่าย ๆ ครับ



หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 30, 2012, 08:54:24 PM
ในเมื่อได้พูดเลยมาถึงเกียร์พ่วงกันแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับเจ่า l322 ตัวนี้ ถ้าเกิดในกรณีฉุกเฉินที่จะต้องลากรถกันแล้วจะต้องทำอย่างไร เนื่องจาก land rover ทุกคันขับเคลื่อนสี่ล้อ full time ทุกคัน ทางวิศวกรผู้ออกแบบเขาได้คิดเอาไว้แล้วว่า สามารถทำการลากได้ แต่ก่อนที่จะลากนั้นจะต้องทำให้เกียรพ่วงนั้น อยู่ในตำแหน่ง n หรือเกียร์ว่างก่อน ดังนั้นทุกคันจะมี ไม่ว่าจะเป็น discovery ก็จะเป็นแบบ manual ต้องดึงไปที่ n  ส่วนนังอ้วนนั้นเป็นแบบควบคุมด้วย electronics ดังนั้นต้องใส่ fuse 5A ไปที่ BECM หาได้ง่าย ๆ ก็อยู่ใต้เบาะคนขับนั่นแหละครับจะมีฝาปิดอยู่ เปิดออกมา นับแถวบนสุดจากซ้ายไปขวา ตัวสุดท้ายขวามือ จะว่างอยู่ พอใส่ฟิวส์ลงไปก็ลากได้แล้วครับ หน้าจอจะขึ้นคำว่า TRANSFER NEUTRAL ครับ พอลากเสร็จแล้วก็อย่าลืมเอาออกนะครับ เพราะว่าในเวลาปกติแล้วถ้าเราใส fuse no 11 ตัวนี้ลงไป หรือเห็นว่าง ๆ อยู่ก็ใส่ให้เต็ม อย่าได้ทำครับ เพราะว่ารถจะไม่วิ่งครับ จะมีเสียงดังในเกียร์พ่วงคล้ายเกียร์พังแล้วรถก็ไม่วิ่งอีก ดังนั้นตรงนี้ห้ามทำโดยเด็ดขาดครับ  ก่อนลากใส่ลงไปลากเสร็จแล้วก็ถอดออกนะครับ

ส่วนของเจ้า L322 นั้น กล่องฟิวส์จะอยู่ด้านในของเก๊ะเก็บของด้านซ้าย ใต้กล่อง CD changer นั่นแหละครับ สำหรับรุ่นนี้จะแอบ ๆ หน่อยหนึ่ง แต่ก็ไม่เสียง่ายเหมือนของนังอ้วนหรอกครับ ของนังอ้วนนั้นเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น จะไม่ให้เสียได้อย่างไง ในเมือตัวของมันเองก็ร้อนอยู่แล้วยังเอาไปไว้ในห้องเครื่องยนต์อีก ไม่พังก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน  ส่วนนเจ้า l322 นั้นเย็นตลอด ๆ เพราะอยู่ในห้องโดยสาร สบาย ๆ ครับ ในเมื่อหากล่องฟิวส์เจอแล้ว ก็ต้องหาช่องเบอร์  37 ให้เจอแล้วก็เสียบฟิวส์ 5A ลงไปก็ลากได้แล้วครับ หน้าจอจะขึ้นโชว์ TRANSFER NEUTRAL ครับ ส่วนขนาดของ fuse นั้น นังอ้วนจะเป็น fuse ตัวใหญ่ครับ ส่วนของเจ้า l322 นั้นจะเป็นแบบรุ่นใหม่โดยทั่วไปแล้วคือจะเป็น fuse ตัวเล็กครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 31, 2012, 11:17:20 AM
มาเป็นชุดเลยพีได้ความรู้ใหม่เพรียบเลยพี่
ไปเขาค้อมาได้ลองทุกเกียร์ที่พี่ว่ามามันสุดยอดไปเลย
กลับมาแล้ววววครับเดี๋ยวจัดรูปตามให้ครับใจร้อนจริงนะเนี้ย555 ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: classic ที่ ตุลาคม 31, 2012, 12:20:54 PM
ได้ความรู้เยอะเลยคราบ สงสัยต้องแอบเอาคุุุณทองดำไปออกกำลังขึ้นเขาลงห้วยบ้างจะได้ใช้เปนคราบ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 31, 2012, 08:23:47 PM
ไปเที่ยวมาแล้วกลับมาพักให้หายเหนื่อยแล้วก็ลงรูปตามมให้ข้อยบ้างเด้อ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 31, 2012, 08:24:35 PM
ข้อยฟ่าว รบกวนช่วยเปลี่ยน icon ให้ข้อยด้วยเด้อ เอาบักทองดำขึ้นมาก็ได้ หรือถ้าไม่มีเอาแมงง๊องแง๊งลงมาก็ได้อยู๋


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 31, 2012, 08:40:47 PM
วันนี้จะเขียนเรื่องอะไรดีล่ะครับตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องโดยสาร เดี๋ยวนึกก่อนต้องโอมมะลุกตุ๊กตุ๋ยก่อน แล้วก็ล้วงลงไปได้แล้วครับได้ออกมาแล้ว โจทก์อยู่ที่ว่า ในเจ้า L322 นั้นมี airbag หรือถุงลมนิรภัยอยู่ทั้งหมดกี่ใบและอยู่ที่ไหนกันบ้าง โอ้โฮมันยากอ่ะ แต่เท่าที่จำได้ในนังอ้วนนั้นมีแค่ 2 ใบเท่านั้น มีที่พวงมาลัยกับที่ facia ด้านหน้าซ้ายเท่านั้น ทุกรุ่นปีจะมีแค่นั้นไม่มีเพิ่ม แต่ที่รู้ ๆ แน่ ๆ น่าจะมีเหมือนนังอ้วนแน่ ๆ ล่ะ 2 ใบ หรือจะติดไว้ใต้เบาะนั่งเออแล้วเวลามันระเบิดล่ะ ไข่แตกพอดี ล้อเล่นน่ะครับ  ไม่รู้คิดได้ยังไง


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ตุลาคม 31, 2012, 08:42:28 PM
ใครรู้ตอบให้พี่ก่อนนะเดี๋ยวพี่กลับมา


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ ตุลาคม 31, 2012, 10:41:31 PM
จัดเปลี่ยนให้แล้วหล่อมั้ยพี่ๆๆๆๆ ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 01:02:29 PM
shu-kran เป็นภาษาอารบิค แปลว่า ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 01:15:04 PM
พี่ว่านะถ้าเกิดเอาเจ้าถุงลมไปใส่ไว้ใต้เบาะนั่งจริง ๆ ก็คงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ ๆ อ้าว ทำงงงงงงง ก็จะไม่ให้ขายดีได้อย่างไง ในเมื่อบรรดาเมียหลวงจะกว้านซื้อให้ ผอ. ใช้นะซิ แค้นมานาน สะใจจังเลย  แวะโฆษณานิดนึงครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 03:25:17 PM
555ก๊ากเลยพี่มีอารมร์ขันนะเนี้ย :D :D :D
ติดละครแรงเงาเหมือนกันเลยดูๆแล้วกลัวเหมือนกันนะเนี้ย555


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 03:27:14 PM
ลองๆหา airbag ทั่วทั่งคันแล้วเจอมา8ใบอะพี่ไม่รู้ครบป่าว


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 07:12:31 PM
เอแล้วนี่ ผอ.โตหายไปไหนนี่ ไม่เห็นแวะมาโฆษณาเลย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 07:32:36 PM
ถูกต้องนะครับ ทั้งหมดแล้วในเจ้า L322 มีถุงลมอยู่ทั้งหมด 8 ใบ อยู่ตรงไหนบ้าง มาดูกัน
สำหรับด้านคนขับ จะมี 3 ใบ ครับ ที่วงพวงมาลัย ที่แผงประตูด้านหน้า และที่เสาเก๋งด้านหน้าในผ้าหลังคา
สำหรับด้านผู้โดยสาร จะมี 3 ใบเช่นกันครับ ลูกแรกอยู๋ตรงเก๊ะเก็บของที่ facia ที่แผงประตูหน้าซ้าย และที่เสาเก๋งด้านหน้าในผ้าหลังคา
สำหรับด้านหลังจะอยู่ที่เสาข้างด้านบนหลังคา ทั้งซ้ายและขวาครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2012, 08:44:08 PM
สงสัยไม๊ล่ะครับว่าทำไมทีมวิศวกรถึงได้ใส่ถุงลมนิรภัยมาให้มากมายมากกว่าเจ้า p38 มากเลย นังอ้วนนั้นมีถุงลมแค่สองใบ ถ้าชนด้านหน้าองศาไม่เกิน30 องศา ถ้าองศาเกินน้ัื้นจะไม่ทำงานครับ และอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในระบบ airbag นั้นจะมีอายุุแค่สิบปีก็ต้องเปลี่ยนแล้วครับ และทุก ๆ 10 ปี ขจะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบครับ ส่วนของเจ้า l322 นั้นได้ถูกออกแบบและพัฒนามาอยางดีแล้ว จะชนด้านหน้า หรือด้านข้างนั้นถุงลมนิรภัยจะระเบิดหมด ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ว่าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในรถคันนี้หากเกิดอุบัติเหตุ ส่วนอายุของอุปกรณ์ในระบบถุงลมนิรภัยในเจ้า l322 นั้นก็ได้ถูกพัฒนาให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวขึ้นถึง 15 ปีเลยทีเดียว ดังนั้นในขณะที่ท่านขับรถอยู่แล้วไฟสัญญาณ srs ยังโชว์อยู่ ขอให้ท่านนึกอยู่เสมอว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุถุงลมนิรภัยจะไม่ทำงานครับ ชีวิตของท่านและผู้โดยสารอาจจะตกอยู่ในนาทีฉุกเฉินก็เป็นได้ครับ

ถ้าท่านซื้อรถยนต์มือสองมาก็สังเกตตูสักนิดหนึ่งนะครับว่าระบบยังคงทำงานปกติอยู่หรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วเวลาเปิดสวิสช์กุญแจ on ไฟ srs จะยังโชว์อยู่จนกว่าจะสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วจึงจะัดับไป และถ้าเกิดเปิดสวิสช์กุญแจ on แล้วไฟ srs ไม่ติดล่ะก็คงต้องตรวจเช็คในระบบให้ดีครับว่า หลอดไฟได้ถูกถอดออกไปหรือไม่ระบบมีปัญหา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบนะครับ อย่าลืมนะครับว่าในระบบ srs นั้นห้ามซ่อมแซมชุดสายไฟ และอุปกรณ์ทุกตัว ถ้ามีปัญหาให้เปลี่ยนอย่างเดียวเท่านั้นครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: RANGE ที่ พฤศจิกายน 03, 2012, 12:26:39 AM
สงสัยไม๊ล่ะครับว่าทำไมทีมวิศวกรถึงได้ใส่ถุงลมนิรภัยมาให้มากมายมากกว่าเจ้า p38 มากเลย นังอ้วนนั้นมีถุงลมแค่สองใบ ถ้าชนด้านหน้าองศาไม่เกิน30 องศา ถ้าองศาเกินน้ัื้นจะไม่ทำงานครับ และอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในระบบ airbag นั้นจะมีอายุุแค่สิบปีก็ต้องเปลี่ยนแล้วครับ และทุก ๆ 10 ปี ขจะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบครับ ส่วนของเจ้า l322 นั้นได้ถูกออกแบบและพัฒนามาอยางดีแล้ว จะชนด้านหน้า หรือด้านข้างนั้นถุงลมนิรภัยจะระเบิดหมด ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ว่าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในรถคันนี้หากเกิดอุบัติเหตุ ส่วนอายุของอุปกรณ์ในระบบถุงลมนิรภัยในเจ้า l322 นั้นก็ได้ถูกพัฒนาให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวขึ้นถึง 15 ปีเลยทีเดียว ดังนั้นในขณะที่ท่านขับรถอยู่แล้วไฟสัญญาณ srs ยังโชว์อยู่ ขอให้ท่านนึกอยู่เสมอว่าถ้าหากเกิดอุบัติเหตุถุงลมนิรภัยจะไม่ทำงานครับ ชีวิตของท่านและผู้โดยสารอาจจะตกอยู่ในนาทีฉุกเฉินก็เป็นได้ครับ

ถ้าท่านซื้อรถยนต์มือสองมาก็สังเกตตูสักนิดหนึ่งนะครับว่าระบบยังคงทำงานปกติอยู่หรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วเวลาเปิดสวิสช์กุญแจ on ไฟ srs จะยังโชว์อยู่จนกว่าจะสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วจึงจะัดับไป และถ้าเกิดเปิดสวิสช์กุญแจ on แล้วไฟ srs ไม่ติดล่ะก็คงต้องตรวจเช็คในระบบให้ดีครับว่า หลอดไฟได้ถูกถอดออกไปหรือไม่ระบบมีปัญหา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบนะครับ อย่าลืมนะครับว่าในระบบ srs นั้นห้ามซ่อมแซมชุดสายไฟ และอุปกรณ์ทุกตัว ถ้ามีปัญหาให้เปลี่ยนอย่างเดียวเท่านั้นครับ


อ้าว! แบบนี้นังอ้วนของผมใช้มาตั้งแต่ป้ายแดงครบ 16 ปี  ตอนนี้ถุงลมsrs.ก็หมดอายุแล้วซิครับ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินมันจะทำงานมั้ยศิษย์พี่

หรือว่าต้องเปลี่ยนทั้งคัน (ขายนังอ้วน) แล้วไปซื้อ L322 แต่ใจจริงชอบ BMW X6 3.0 D.(ฝาดำ) อ่ะคร้าบ...


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 03, 2012, 10:12:53 PM
 คงจะไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ครับศิษย์น้อง ที่เขียนไปนั้นมันเป็นข้อมูลทางเทคนิคของรถรุ่นนี้เอง ดังนั้นรถทุก ๆ รุ่นมันก็มีข้อมูลทางเทคนิคของมันเหมือนกันอยู่ที่ว่าเราจะได้รับทราบข้อมูลเหล่านั้นหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่รู้ก็คือไม่รู้ก็ไม่เกิดความกังวล แต่พอรู้แล้วเกิดความกังวลอีก แต่ที่น้องถามมานั้นเป็นคำถามที่ดีมากพี่ก็จะขอตอบไปตามนี้ หวังว่าน้องคงจะเข้าใจว่า นี่คืออุปกรณ์ตัวหนึ่งในรถยนต์ ถ้าอุปกรณ์ตัวนี้เกิดไปอยู่บนเครื่องบิน ซึ่งระบุไว้ว่าใช้งาน 10000 ชั่วโมง ให้ทำการเปลี่ยนใหม่ จำเป็นมากครับที่จะต้องเปลี่ยนตามนั้น เพราะว่าถ้าไม่เปลี่ยนตามนั้นหากต้องทำให้เครื่องบินตกก็คงจะเสียหายมากมายครับ แต่นี่เป็นรถยนต์ข้อมูลระบุไว้ว่าอายุการใช้งานที่ 10 ปีให้เปลี่ยนใหม่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าไม่มีสักคันหนึ่งเลยที่เคยเปลี่ยนถุงลมนิรภัย หลังจากครบ 10 ปี เพราะอะไรหรือครับ อันดับแรกราคาค่อนข้างที่จะแพงเอาเรื่องอยู่ อันดับต่อมาก็คือยังคงใช้งานได้ปกติ ทุกอย่างยังคงทำงานปกติอยู่ ก็ถือว่าใช้ได้ก็คงใช้ต่อไปครับ คงไม่ต้อง serious ขนาดนั้นก็ได้ครับ แต่ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วระบบจะทำงานสมบูรณ์ 100 % หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ เพราะว่าพี่ก็ยังไม่เคยได้ทดสอบเหมือนกัน เดี๋ยวพี่ให้น้อง ๆ webmaster ช่วยหาข้อมูลให้ว่าที่อื่นเขาปฏิบ้ติกันอย่างไร พี่ว่าอย่าไปคิดมากเลยครับ ถ้าระบบเขายังคงทำงานปกติก็คิดเสียว่าเขายังคงดีอยู่ ใช้เขาต่อไปเถอะครับ ก็ดีใจนะครับที่น้องยังมีคำถามเหล่านี้กลับมา ทำให้พี่มีกำลังใจอีกเยอะเลยที่จะเขียนต่อไป เขียนให้น้อง ๆ รุ่นหลังได้รู้ ความรู้เหล่านี้จะได้ไม่หายไปไหน ยังคงอยุ่ต่อไปกับบ้านคนรักษ์เร้นจ์ครับ 


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 11:23:00 AM
พี่ๆมีรถคันดำของคุณโตไงเห็นทำจังหาของมาแต่งตลอดเอามาทดสอบairbagกันมั้ยเอามาลองขับชนนกเกาะท้ายสิบล้อซักตัวดูซิจะทำงานมั้ย
ว่าไงคุณโตลองมั้ย555


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 06, 2012, 09:55:59 AM
วันนี้นั่งเขียนอยู่บนรถ รายงานสดระหว่างทางจากหาดใหญ่ไปนครศรีธรรมราช คราวที่แล้วนั้นเราได้คุยกันถึงเรื่องถุงลมนิรภัยกันไปแล้ววันนี้นั่งรายงานอยู่เบาะหลังเจ้า l322 ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ มองไปรอบ ๆ ตัว ว่าวันนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องอะไรดี ในห้องโดยสารเท่าที่ดูแล้วยังคงมีอีกไม่กี่อย่าง นึกขึ้นมาได้ครับเจ้าตัวนี้ก็สำคัญเหมือนกันครัย อยู่ข้างหลังพี่นี่เอง ให้ทายซิว่าตัวอะไร เจ้าตัวนี้จะอยู่ในระบบ air suspension ครับ ชื่อไทย ๆ ก็ตคือเจ้าปั๊มลมนั่นเอง ชื่อย่างเป็นทางการ ก็ air compressor แล้วทำไมมันถึงได้เข้ามาอยู่ในห้องโดยสารได้ล่ะครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 06, 2012, 10:29:49 AM
แจ๊คกี้ครับขับเบา ๆ หน่อยก็ได้ครับพ่อจิ้มไมถูกครับ ก็มาว่ากันต่อครับ เจ้าตัวปั๊มลมตัวนี้ได้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมามากแตกต่างจาก ปั๊มลมที่ติดตั้งอยู่ในนังอ้วนมากมาย สถานที่ติดตั้งนั้นได้ถูกนำไปไว้ในหลุมยางอะหลั่ย และมียางอะหลั่ยครอบเอาไว้ ถ้าไม่บอกว่าเจ้าตัวปั้มลมอยู่ที่ยางอะหลั่ยก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ เพราะวาวเวลาเขาทำงานนั้นจะเงียบมากแทบจะไม่ได้ยินเสียงดังเล็ดลอดออกมาเลย พี่ปัญจะเองก็ชอบในการออกแบบและพัฒนาระบบ airsuspension ของรถยนต์รุ่นนี้เป็นอย่างมาก ปัญหาจุกจิกในการใชงานก็ดี ในการบำรุงรักษาก็ดี แทบจะไม่มีให้เห็น ไม่ว่าจะจอดแล้วทรุดตัวในตอนเช้า ถ้าถุงลมดีจอดเป็นเดือนก็ไม่มีทรุดให้เห็นครับ ในระบบได้ถูกตัด valve block drive pack ออกไปจึงทำให้ระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น เหลือเพียงตัว height sensor ที่ล้อเพียงสี่ล้อเท่านั้น ผิดกับเจ้านังอ้วนนั้นจะรวมชุดวาล์วบล็อค ไดร้ฟ์แพ็ค ปั๊มลมเข้าไว้ด้วยกันและที่เป็นปัญหามากก็คือได้นำเจ้าชุดวาล์วบล็อคไปติดตั้งไว้ในห้องเครื่องด้านซ้าย ซึ่งถ้ามองถึงการติดตั้งไว้ในห้องเครื่องยนต์นั้นได้ทำถูกต้องแล้ว เพราะเหตุผลใดหรือครับ มันมีเหตุผลครับ เนืองมาจาก เจ้าระบบ air suspension นั้น ได้ถูกออกแบบและใช้งานมาก่อน และได้ถูกนำมาติดตั้งใช้งานกับเจ้า range rover classic รุ่นปี ค.ศ.1993 เจ้าอุปกรณ์ชุดนี้ทั้งชุดนั้นท่านทราบไม๊ล่ะครับว่าเขาๆนำไปไว้ที่ไหน เดี๋ยวขอพักไว้แค่นี้ก่อนนะครัยถึงที่หมายแล้ว ขอไปทำงานก่อนแล้วจะมาเขียนตอนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 06, 2012, 11:26:09 AM
รายงานสดบนเบาะหลังL322มันสุดยอดไปเลยพี่ๆๆๆๆๆ นั่งๆระวังหลับนะถุงลมมันนุ่มสุดๆ ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 07, 2012, 12:15:36 PM
กลับมาจากนครศรีธรรมราช ถึงหาดใหญ่แล้วครับ และวันนี้ก็ยังคงรายงานสดอยู่ที่ take care car wash หาดใหญ่ครับ วันนี้นัดกับน้องเอกเอาไว้ว่าจะเอาเจ้าทองดำเข้าเคลือบแก้วอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคลือบมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ด้วยความที่อยากลองน้ำยาตัวใหม่ที่ใช้เคลือบเครื่องบิน อยากลองดูว่าน้ำยาตัวนี้จะดีกว่าตัวเดิมหรือไม่ ตอนนี้ที่รายงานอยู่ เจ้าทองดำกำลังถูกสปาอยู่ เดี๋ยวกลับไปถึงกรุงเทพแล้วจะนำรูปมาลงให้กับพวกเราได้ดูกันครับ พี่เองว่าง ๆ ไม่ได้ทำอะไรก็เลยขอเข้ามาเขียนต่อจากเมื่อวานนี้ที่เขียนถึงเรื่องปั๊มลมค้างเอาไว้ ก็อย่างที่บอกล่ะครับว่าเจ้ากล่องวาล์วบล็อคในครั้งแรกที่ใส่เข้ามาในเจ้า range classic นั้น ได้ถูกนำไปติดตั้งไว้ที่ chassis ด้านล่างใต้คนขับ ในนั้นจะมีครบเลยครับ มีทั้ง valve block drive pack air compressor อยู่ในกล่องเหล็กอย่างดีครับ ข้อดีหรือครับ เนื่องจากอยู่ที่ด้านล่างมีลมผ่านตลอด จึงทำให้เจ้าวาล์วบล็อคชุดนี้มีอายุที่ยืนยาวขึ้นมาก ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก ในเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียตามมา นั่นก็คือว่าเจ้า Range classic ตัวนี้เป็นรถ offroad เมื่อถึงเวลาที่ลุยกันจริง ๆ แล้ว ปรากฎว่าเจ้าวาล์วบล็อคตัวนี้กลับสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงในการที่จะต้องลุยน่้ำ เพราะเมื่อระบบไฟฟ้าถูกน้ำก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นด้วยปัญหาตัวนี้เองจึงได้นำเจ้าวาล์วบล็อคตัวนี้ไปไว้ในห้องเครื่องยนต์ในรุ่นต่อมาก็คือเจ้านังอ้วนของเรานี่เอง การนำวาล์วบล็อคเข้าไปไว้ในห้องเครื่องยนต์ที่พี่ปัญจะได้ออกตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถูกต้องแล้วก็เพราะว่า ในยุโรปเองสภสพภูมิอาลกาศนั้นหนาวเย็นเป็นส่วนใหญ่ อุณหภูมิในห้องเครื่องยนต์นั้นไม่สูงมากนักจึงไม่มีปัญหาตามมา แต่ทำไมวาล์วบล็อคในเมืองไทยภึงได้มีปัญหามากมายนัก ความร้อนไงล่ะครับที่ทำลายชุดวาล์วบล็อคของเรา เดี๋ยว o ring รั่ว เดี๋ยว drive pack เสีย เดี๋ยวปั๊มลมพัง สาเหตุหลักก็มาจากความร้อนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคับ ก็อย่างที่บ กล่ะครับว่าภายในห้องเครื่องของนังอ้วนนั้นร้อนมาก ๆ อุปกรณ์หลาย ๆ ตัวในห้องเครื่องยนต์เองหลาย ๆ ตัวนั้นก็มีอายุการใช้งานสั้นเหมือนกัน เช่น หม้อน้ำ กล่องฟิวส์  


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 07, 2012, 12:34:25 PM
เนื่องจากรถในเมืองไทยนั้นเป็น UK spec ทุกคัน ถามต่อไปว่าทำไมถึงไม่นำรถ spec ตะวันออกกลางมาขายในเมืองไทย อันนี้เองผผู้เขียนเองก็ไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงให้ได้ครับต้องขออภัย มาว่าเรื่องของเราต่อกันดีกว่าครับ ในเมื่อวาล์วบล็อคที่ใส่ไว้หน้าห้องเครื่องยนต์นั้นมีปัญหา เจ้าI322 นี่เองที่ได้พัฒนาระบบ air suspension ออกมาอย่างมีเสถียรภาพมากกว่าทุก ๆ รุ่น ที่ได้ใส่ระบบถุงลมมา ตัดเจ้าวาล์วบล็อคตัวเจ้าปัญหาออกไป drive pack ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้แล้ว ยังคงเหลือเอาไว้ที่จำเป็นจริง ๆ ก็เจ้าปั๊มลมกับเจ้าตัว height sensor ก็พอแล้ว ก็คงจะต่้องวกกลับไปที่ปั๊มลมกันก่อนเพราะว่ายิ่งเขียนยิ่งสนุก จะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เอาไว้มีโอกาสเราคงได้คุยกันแบบจัดเต็มในระบบ airsuspension กันไปเลย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 07, 2012, 01:21:16 PM
ถ้าจะพูดว่าไม่มีวาล์วบล็อคก็เดี๋ยวจะบอกว่าระบบถุงลมถ้าไม่มีวาล์วบล็อคแล้วจะทำงานได้อย่างไร มันมีวาล์วครับเป็น solinoid valve 5 way ครับ และในระบบเองแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเจ้าวาล์วตัวนี้มากมายเลย อย่างที่ว่าล่ะครับยิ่งคุยไปก็ไปเรื่อย เรามาคุยถึงปั๊มลมของเรากันก่อนดีกว่าครับ เจ้าปั๊มลมตัวนี้จะถูกบรรจุอยู่ในกล่องเหล็ก รงกลม การทำงานจะเงียบมาก ถ้าเป็นตัวปั็มลมที่ใส่อยู่ในนังอ้วนนั้น สาเหตุหลัก ๆ ที่เสียก็เนื่องมาจากการทำงานหนัก ความร้อนสะสม การทำงานที่ถี่มาก สาเหตุที่ทำงานถี่ก็เนื่องมาจากตัววาล์วบล็อคเองที่เวลารั่วหรือเสียก็มีการถอดออกมาซ่อมแซม การถอดออกมาซ่อมแซมนี่เองที่ทำให้บางครั้งมีการรั่วเกิดขึ้น มีคำถามกลับมาว่าก็แค่เปลี่ยน o ring เอง ใช่ครับสามารถเปลี่ยน o ring ได้ แต่การรั่วนั้นโดยปกติแล้วจะรั่วที่ตัววาล์วครับเปลี่ยน o ring ก็ไม่หายรั่วหรอกครับ ทางที่ดีแล้วเมื่อวาล์วรั่วควรเปลี่ยนใหม่ดีที่สุดครับ เพราะอะไรหรือครับ เพราะใน manual ได้ระบุเอาไว้ว่า non serviceable ครับ ถ้าสังเกตุดี ๆแล้ว เรายิ่งซ่อมวาล์วบล็อคนานเท่าไรปั๊มลมก็จะเริ่มอ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ เท่านั้นครับ ถ้าซ่อมวาล์วบล็อคแล้วปั๊มลมทำงานทุก ๆ นาทีไม่หยุด ก็คงต้องเปลี่ยนปั๊มลมอีกตัวนึงแน่นอนครับ แวะไปหานังอ้วนมาหน่อยหนึ่ง ส่วนของl322 นั้นจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงปั๊มลมจะทำงานเฉพาะเวลาที่เรากดเปลี่ยนตำแหน่งความสูงเท่านั้นครับ แล้วหลังจากนั้นจะไม่ทำงานอีกเลยจนกว่าเราจะกดเปลี่ยนตำแหน่งความสูงอีก ดังนั้นปั๊มลมในรุนนี้จะมีความทนทานมากกว่าของนังอ้วนมากครับ แรงดันที่ในระบบ 11.7-13.7bar ครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 07, 2012, 09:47:12 PM
แหม อยากไปเป็นคนขับรถให้จังเลยครับ ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 08, 2012, 09:22:52 AM
อยากให้มาด้วยกันครับ วันเสาร์นี้มีงาน  harley ที่กระบี่กะไว้ว่าจะแวะก่อนกลับขึ้นไปครับ เดี๋ยวเก็บรูปมาฝากนะครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 08, 2012, 11:03:11 AM
วันนี้ยังคงนั่งรายงานอยู่ที่หาดใหญ่ครับ ก็คงจะได้รับทราบข้อมูลของปั๊มลมกันไปแล้ว สรุปออกมาแล้วก็คงจะดีกว่านังอ้วนในหลาย ๆ ด้าน ส่วนที่ดีมาก ๆ เลยก็คือการนำไปไว้ในห้องโดยสาร ทำให้ไม่เกิดความร้อนมากนักขณะทำงาน และด้วยตัวของปั๊มลมที่มีขนาดใหญ่กว่าทำให้ใช้เวลาทำงานน้อยกว่าซึ่งจะทำให้ยืดอายุของปัีมลมออกไปได้นานครับ       


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 08, 2012, 11:11:51 AM
ก็มีคำถามมาอีกว่าถ้านำเจ้า l322 ไปทำการติดตั้งแก๊ส lpg ถัง donut แล้วไม่ต้องย้ายเจ้าปั๊มลมตัวนี้จะได้หรือไม่ ขอตอบเลยว่าไม่ได้แน่นอนครับ เพราะเจ้าปั๊มลมตัวนี้ค่อนข้างใหญ่แถมยังวางเอาไว้ซะตรงกลางที่เก็บยางอะหลั่ยอีก ทำให้ไม่ยมีพื้นที่ที่จะหลบปั๊มตัวนี้ครับ ต้องย้ายขึ้นไปไว้ด้านข้างทางขวามือเท่านั้น ส่วนถังแก๊สนั้นจะใช้เป็นแบบวาล์วนอกหรือแบบวาล์วในก็ได้ครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: planet ที่ พฤศจิกายน 08, 2012, 01:10:31 PM
ติดตามรออ่านอยู่ครับ....ทริปนี้มีประโยชน์มากมาย.... ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 08, 2012, 09:11:57 PM
ก็มีคำถามมาอีกว่าถ้านำเจ้า l322 ไปทำการติดตั้งแก๊ส lpg ถัง donut แล้วไม่ต้องย้ายเจ้าปั๊มลมตัวนี้จะได้หรือไม่ ขอตอบเลยว่าไม่ได้แน่นอนครับ เพราะเจ้าปั๊มลมตัวนี้ค่อนข้างใหญ่แถมยังวางเอาไว้ซะตรงกลางที่เก็บยางอะหลั่ยอีก ทำให้ไม่ยมีพื้นที่ที่จะหลบปั๊มตัวนี้ครับ ต้องย้ายขึ้นไปไว้ด้านข้างทางขวามือเท่านั้น ส่วนถังแก๊สนั้นจะใช้เป็นแบบวาล์วนอกหรือแบบวาล์วในก็ได้ครับ
อ้าวแล้วไว้ข้างซ้าย หรือในสุดไม่ได้รึพี่   แล้วต้องเดินสายอะไรใหม่รึไม่ครับ 
หว้า กะว่าจายืมคุณทองดำไปออกงานสักหน่อย  รีบกลับมาเร็วๆนะพี่


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 09, 2012, 09:06:42 PM
กลับขึ้นมาแล้วครับ ตอนนี้กำลังออกจากหาดใหญ่ไปนอนที่กระบี่คืนนี้กว่าจะถึงคงจะดึก เห็นคุณโตถามมาเรื่องปั๊มลมว่าจะวางเาไว้ด้านซ้ายหรือด้านในจะได้หรือไม่ ขอตอบเลยก็แล้วกันนะครับว่าได้ครับแต่มีข้อจำกัดก็คือจะต้องมีการต่อท่อลมครับ ทางที่ฝดีแล้วอย่าไปตัดต่อมันจะดีที่สุดครับ อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าภายในระบบมีแรงดันตั้ง 13.7 bar เมื่อต่อแล้วอาจจะสร้างปัญหาตามมาก็ได้ครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 09, 2012, 09:44:40 PM
ขอบคุณเพือน ๆ สมาชิกที่รออ่านข้อความของคนรักษ์เร้นจ์อยู่ ช่วงนี้พิมพ์ผิดไปบ้างต้องขอพระอภัยมณีครับ เพราะนั่งรายงานอยู่เบาะหลังฃคุณทองดำ วันนี้คุณทองดำเงามากเลยครับออกจากห้องสปามาตอนหกโมงเย็นก็เดินทางกันเลยครับเอ้ามาเข้าเรื่องดีกว่าครับ ปั๊มลมก็มรู้จักกันไปแล้วมีน้องสมาชิกถามมาว่ารุ่นนี้เวลาจะยกรถนั้นจะต้องทำอย่างไร ในเมื่อถามมาก็คงต้องตอบ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องโดยสาร ก็ขอลงไปใต้ท้องกันหน่อยนึงครับ น้อง ๆ อยากรู้เรื่องการยกรถ ก็มาว่ากันดลยครับ อย่างที่เรารู้กันแล้วว่าเจ้าL322 ตัวนี้นั้นช่วงล่างเป็นระบบอิสระทั้งสี่ล้อ ดังนั้นจุดที่จะทำการยกตัวรถไ้ด้นั้นด้านหน้าก็จะอยู่ที่ชายบันไดหลังล้อหน้าทั้งสองด้าน ส่วนล้อหลังนั้นก็อยู่ที่ชายบันไดหน้าล้อหลัง ไม่รู้ว่าจะอ่านแล้วงงหรือเปล่า เอาง่าย ๆ ก็อยู่ที่ใต้เบาะนั่งหน้ากับหลังนั่นแหละครับ ส่วนตัวแม่แรงนั้นวางอยู่ด้ายนในของหลุมยางอะหลั่ยครับ ตัวแม่แรงนั้นได้ถูกเปลี่ยนจาก แม่แรง hydraulic มาเป็นแม่แรงแบบเกลียวครับ ก็ง่าย ๆ ครับ ยกขึ้นได้เลยไม่ต้องกลัวถุงลมหลุดครับ ผิดกับนังอ้วนที่ต้องขึ้นที่คานล้อครับ และแม่แรงที่ใช้ก็จะเป็นแบบHydraulic ครับ คราวนี้คงจะเชื่อแล้วนะครับว่าเจ้า L322นั้น น้ำหนักตัวน้อยกว่านังอ้วนใช่ไม๊ครับ เพราะถ้าสำหรับพี่แล้วคิดว่าแม่แรงที่ใชยกรถนั้นก็คงจะบอกถึงน้ำหนักตัวรถได้ครับ สำหรับน๊อตล้อของl322 นั้น ถ้าเป็นล้อstandard ขอบ 19" จะใช้ประแจถอดล้อ เบอร์ 22 mm ครับ น๊อตล้อจะเป็นสีดำ มีทั้งหมด 5 ตัว/ล้อและในแต่ละล้อจะมี safety nut ล้อละตัว สิ่งที่ควรระวังก็เจ้าตัว safety nut หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเจ้านัทกันขโมยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 09, 2012, 10:09:29 PM
เจ้านัทกันขโมยตัวนี้ต้องระวังให้ดีนะครับเพราะทำล้อแม็กพัง าหลายคันแล้วครับ เพราะอะไรหรือครับ เพราะตอนที่ยางไม่มีปัญหา ก็ไม้ต้องการที่จะถอดล้อครับ พอยางมีปัญหาก็ต้องถอดล้อครับ  นัทล้อสี่ตัวถอดออกได้ครับติดที่นัทกันขโมยตัวนี้ตัวเดียวครับที่ถอดไม่ออก เพราะว่าถ้สจะถอดนัทตัวนี่ต้องใช้ตัวถอดพิเศษที่อยู่ในกล่องเก็บเครื่องมือท้ายรถในหลุมยางอะหลั่ยคนับ  ถ้าหาเจอก็ไม่เกิดปัญหาครับ แต่ถ้าไม่เจอเจ้าตัวนี้ล่ะก็งานเข้าครับ ถอดล้อไม่ได้ ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ ผลสุดท้ายก็ต้องยอมให้้แม็กชำรุดครับ ดังนั้นถ้าไม่อยากพบเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วล่ะก็ ควรตรวจสอบดูว่านัทล้อของเรายังมีนัทกันขโมยอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีนัทกันขโมยอยู่ก็ควรตรวจเช็คว่าเจ้าตัวถอดนัทกันขโมยตัวนี้ยังอยู่ที่ท้ายรถมากับเราด้วยหรือไม่ ก่อนที่ท่านจะตกอยู่ในนาทีฉุกเฉินครับ บางท่านคิดว่าก็วิ่งเข้าไยืมที่ศูนย์บริการมาสิ ก็คงจะได้ครับถ้าเผิญว่า code เกิดตรงกันพอดีก็ใช้ได้ครับ แต่ถ้าโชคร้ายรถทัเ้งศูนย์บริการที่มีจอดอยู่ไม่มีคันไหนมี code ตรงกับเราเลยก็ง่นเข้าเลยครับ เพราะว่าเจ้านัทตัวนี้ต้องสั่งจาก uk  เท่านั้นครับ ดังนั้นต้องควรระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 09, 2012, 10:41:27 PM
ผ่านจังฟหวัดตรังแล้วครับ เอ้ามาต่อกันแล้วก็วกกลับขึ้นมาในห้องโดยสารของเราต่อครับ เอาเรื่องอะรดีครับ ขอคิดก่อน  เอาไอ้ตัวที่อยู่ข้างหน้าพี่นี่ก็แล้วกัน เบาะนั่งคู่หน้านี่ไง ผ่านเมืองตรังนึกถึงขนมเค๊กอร่อย ๆ ถ้าได้กาแฟร้อนสักแ้แก้วขนมสักก้อนก็คงจะดีไม่น้อย ชักเวียนหัวแล้วโค้งเยอะแจ๊คกี้สาดโค้งมันไปเลย เออล้อ 22" มันเกาะถนนดีเหมือนกันนะ บางคนอาจจะคิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรเลยแค่เบาะนั่งธรรมดาที่รถทั่ว ๆ /ปก็มีแบบเดียวกับเราทั้งนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้ก็ยังคิดอะไรไม่ออกหรอกครับ เดี๋ยวพอได้อ่านเรื่องเบาะจบแล่ว ทุกคนก็จะต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ่า l322 สุดยอดนายยอดมาก นายทำได้ขนาดนี้เชียวเรอะ เดี๋ยวเรามารู้จักกับเจ้าเบาะนั่งที่ชาญฉลาดตัวนี้กันดีกว่า


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 09, 2012, 11:33:32 PM
เบาะนั่งด้านหน้า front seat ที่ใส่มาในเจ้า L322 นั้น มีอยู่ 3 แบบ ด้วยกัน คือ 
1 Manual Seat
2 Electric Seat
3 Contour Seat
แล้วเจ้าสามตัวนี้มันมีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง แล้วในแต่ละตัวใส่อยู่ในรุ่นไหนกันบ้าง เรามาคุยกันต่อเลยดีกว่า ตอนนี้ถึงกระบี่แล้วอีก 20กม ถึงหาดนพรัตน์ฃธาราแล้วครับคุยต่ออีกหน่อยครับเดี๋ยวถึงที่พักแล้วค่อยว่ากัน
1Manual Seat ตัวนี้ก็เบาะนั่งธรร ดาที่ปรับด้วยมือนั่นแหละครับ คงจะนึกไม่ถึงใช่ไม๊ล่ะครับว่าเจ้า L322 จะยังมีเบาะปรับด้วยมืออยู่อีกเหรอ มันน่าจะหมดไปตั้งแต่รุ่น discovdry 1 ได้แล้ว เขียนเพลินถึงที่พักแล้วครับ ขอบคุณสำหรับการติดตาม พรุ่งนี้จะเข้ามาเขียนต่อ วันนี้ ระยะทาง 285 กม ใช้ดวลาไป 3 ชั่วโมง ก็ถือว่าใช้ได้ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 11:16:22 PM
ไม่ได้เข้ามาหลายวันพอดีเจ้าL322ของผมมันเกเรนิดหน่อย พี่เล่นลุยไปซะหลายจังหวัดเล่าเรื่องมาซะมากมายนั่งอ่านแล้วเพลินไปเลยครับ
กลับมาเร็วๆนะพี่ อยากเห็นเจ้าทองดำแล้วครับ :)


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 07:48:11 PM
ตื่นลืมตาขึ้นมาก็อยู๋กรุงเทพล้วครับ แต่พอเปิดเว็บดูก็แทบเป็นลม webmaster ครับช่วยหน่อยครับช่วยเก็บขยะออกหน่อยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 08:08:04 PM
เรายังคงค้างกันอยู่ที่เบาะนั่งหน้าที่ปรับด้วยมือ มี function ที่ใส่มากับเบาะ ตามนี้ครับ
forward/backward
Seat height
Seat angle  driver seat only
Backrest angle
Headrest height and angle
ส่วนที่ใช้ไฟฟ้าก็เห็นจะได้แก่  lumbar support เทานั้นครับ ก็ไม่มีอะไรมากมายสำหรับเบาะรุ่นนี้ก็ไม่ต้องไปพะวงอะไรมากเพราะว่าเบาะรุ่นนี้เราไม่ได้สั่งเข้ามา รุ่นที่สั่งเข้ามาในเมืองไทยนั้นมีอยู่สองรุ่นต่อไปนี้ครับ

Electric Seat ก็มี function ใส่มาให้ตามนี้ครับ
forward/back adjustment
Seat cousion height
Seat cousion angle  driver seat only
Backrest angle
Lumbar support horizontal and vertical
ส่วนที่ต้องใช้มือปรับก็เห็นจะได้แก่เจ้า headrest angle กับ headrest height เท่านั้นครับ เบาะรุ่นนี้จะใส่มาในตัวที่ไม่ใช่ตัว top ครับ ส่วนตัว armrest ก็ยังคงใช้มือปรับเช่นเคยครับแล้วเรามาดูเจ้าตัว top กันว่าจะมีอะไรมาให้บ้าง

Contour seat   - Finished in Oxford Leather
function ทุกอย่างจะเหมือนกับ Electric seat จะมีเพิ่มมาก็ตามนี้ครับ
Electrical adjustment of the seatbak head adjustment
Seat angle adjustment - driver and passenger seats
Seat heating
Headrest adjustment
เนื่องจาก Contour seat นั้นถ้าดูให้ดีกันแล้วที่พนักพิงหลังนั้นจะแบ่งเป็นสองท่อน และก็สามารถปรับได้อีก และที่พิเศษกว่านั้นก็คือมีอุ่นเบาะมาด้วยเหมือนกับนังอ้วนเลย แต่นังอ้วนนั้นพนักพิงจะไม่เป็นสองท่อนแบบนี้ ดังนั้นถือว่าได้พัฒนาไปอีกขั้นกับเบาะนั่งคู่หน้ารุ่นนี้

ไปดูในเรื่อง Memory Function กันเถอะว่าจะมีอะไรพิเศษมาให้เล่นใหม่ ๆ กันบ้างตามมาเลยครับ
forward /backward adjustment
Seat height
Seat angle - driver' s side only
Backrest angle
External mirror adjustment  - Left and right
Steering column forward/backward adjustment


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 08:38:41 PM
ช้าๆหน่อยพี่เดี๋ยวหารูปเบาะสวยๆลงตามให้ครับผม ;)


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 09:17:13 PM
ก็มาว่ากันต่อเรื่อง Seat heating สำหรับ function นี้ก็ทำงานไม่ยากหรอกครับ สวิสช์ที่ใช้สำหรับที่จะทำให้อุ่นเบาะตัวนี้ทำงานจะอยู่ตรงกลางสวิสช์แอร์ครับ จะมีรูปเบาะแล้วมีรูปไฟอยู่สองดวง  ทำไมต้องมีไฟสองดวงด้วยเอาไว้ทำอะไร
ถ้าไฟสองดวงไม่ติดแสดงว่าระบบจะไม่ทำงาน
ถ้ากดให้ไฟติดดวงเดียวจะเป็นแบบไม่ร้อนมาก หรือ low level heating อุณหภูมิจะอยู่ที่  39 องศาเซลเซียส
ถ้ากดให้ไฟติดสองดวงจะเป็นแบบร้อนมาก หรือ high level heating อุณหภูมิจะอยู่ที่ 44 องศาเซลเซียส
ก็เลือกกดความร้อนได้ตามใจชอบแต่ระวังใช้บ่อย ๆ ไข่อาจจะสุกได้ถ้าเผลอหลับไป ดังนั้นโปรดระวังมันอันตรายนะจะบอกให้


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 09:35:19 PM
เบาะนั่งคู่หน้าก็ทราบข้อมูลกันไปแล้วไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษอย่างที่คุยเลยโม้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็เห็นว่ามันก็ธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง  เอาเป็นว่าไอ้ที่จะเสียบ่อย ๆ นั้นน่ะก็แผงสวิสช์ ปรับเบาะนั่นแหละครับรุ่นนี้ไม่คงทนเหมือนของนังอ้วนครับ ค่อนข้างที่จะเสียได้ง่าย  ให้ทายซิว่าระหว่างเบาะนั่งตัวหน้าขวากับเบาะนั่งตัวหน้าซ้าย ตัวไหนจะฉลาดกว่ากัน มันจะมีอยู่ตัวหนึ่งที่จะฉลาดมากครับเพราะว่ามันจะรู้ว่า มีคนนั่งอยู่หรือไม่มีคนนั่ง มันรู้ได้อย่างไร แล้ว่ทำงานอย่างไร แล้วต้องมีมันไว้ทำไม เขียนอยู่ที่บ้านสนุกกว่าจิ้มไอแพดเยอะเลยครับไม่เวียนหัวด้วย เดี๋ยวจะมีงานที่เพชรบูรณ์ เหมืองบ้านปู ลำปาง เชียงใหม่ แม่สาย รับรองทริปนี้ก็คงสนุกอีกเช่นเคย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 10:06:52 PM
วันนี้ยังคงมีเวลาที่จะนั่งคุยกันต่อก็มาว่ากันเลยครับ เบาะนั่งที่ว่านั้นตัวที่ฉลาดนั้นจะเป็นเบาะด้านคนนั่งครับ ไม่ใช่เบาะคนขับ บางคนอาจจะคิดว่าเบาะคนขับก็ได้ แล้วมาดูกันว่าทำไมทางทีมวิศวกรเขาไม่ใส่เจ้าตัวนี้มากับเบาะคนขับ เจ้าตัวนี้ชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ Seat Occupancy Sensor เจ้าตัวนี้จะอยู่ภายในเบาะระหว่าง foam padding กับ หนังเบาะ ตัวของมันเองจะประกอบไปด้วย foil contact circuit ประกอบอยู่ในแผ่นพลาสติกบาง ๆ  น้ำหนักที่ถูกกดลงไปบน เจ้า sensor ตัวนี้ หมายความว่าเมื่อมีคนนั่งลงบนเบาะเมื่อไร เจ้า sensor จะทำการลดค่าความต้านทานของระบบและส่งสัญญาณเข้าไปที่สมองกลทันที  สมองกลจะเป็นตัวตัดสินใจว่าเมื่อเวลาที่รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ หรือชนกันเกิด่ขึ้น เจ้า air bag ด้านคนนั่งจะระเบิดหรือไม่ระเบิดจะอยู่ที่สมองกลตัวนี้เป็นตัวสั่ง ถ้ามีคนนั่งอยู่ก็จะระเบิดตามปกติ แต่ถ้าไม่มีคนนั่งมันก็จะไม่ระเบิด เห็นหรือยังครับว่ามันฉลาดอย่างที่ว่าไว้หรือไม่ แล้วทำไมไม่ทำไว้ที่เบาะคนขับด้วยเล่า ก็เพราะว่าไม่มีรถคันไหนที่วิ่งได้เองโดยไม่มีคนขับไง ยังไง ๆ ด้านคนขับก็ต้องระเบิดอยู่วันยังค่ำ แล้วทำไมต้องทำมาให้มันยุ่งยากขึ้นอีก อันดับแรกคงจะเรื่องของค่าใช้จ่ายเวลาซ่อมหลังจากชน เพราะราคาค่อนข้างแพงในแต่ละใบ เหตุผลต่อมาคงจะเรืองของเสียงดัง  บางคนคงไม่รู้หรอกว่าเวลาเจ้า air bag ระเบิดนั้นมันดังแค่ไหน พี่ปัญจะเองตอนที่ไปอบรมที่อังกฤษ ที่โรงงาน bermingham ในครั้งนั้นก็มีโอกาสได้จุดทดสอบอยู่หลายลูกเหมือนกัน ขนาดจุดอยู๋ห่าง ๆ เกือบ 5 เมตร หูยังอื้อเลย แล้วในเมื่อเราอยู่ในห้องโดยสารที่คับแคบแถมยังเป็นห้องปิดอีก รับรองเลยครับหูอื้อไปสักพักแน่ ๆ กว่าจะกลับเข้าสู่ปกติ ดังนั้นลองคิดดูสิว่าเจ้า L322 มีถุงลมตั้ง 8 ใบ แล้วเวลามันแตกพร้อมกัน ลองคิดดูสิครับว่ามันจะดังสักแค่ไหน เกิดอุบัติเหตุชีวิตรอดมาได้แต่หูตึงก็คงจะไม่สนุกนักครับ สำหรับที่ตลาดอเมริกานั้นเขาเข้มงวดเรื่องนี้มากรถทุกรุ่นที่จะส่งไปขายที่อเมริกาต้องปฏิบัติตามกฎของเขาในเรื่องของระบบถุงลมครับ  เดี๋ยวขอดูเมียหลวงอาละวาด ผอ.ก่อน อูย ทุบรถเบ๊นซ์ซะด้วย air bag น่าจะระเบิดนะ สงสาร ผอ. จังเลยโดนมัดมือด้วย อูยเสียวเว๊ย อย่างงี้ air bag ไม่แตก แต่บ้านแตกแหง ๆ กำลังมันเลย คั่นโฆษณานิดนึง


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 10:26:24 PM
ในเจ้าตัวเบาะนี้นั้นยังมีอุปกรณ์ safty อีกตัวหนึ่งที่น่าจะกล่าวถึง ตัวของมันเองก็มีเอาไว้ป้องกันเวลาเกิดอุบัติเหตุจะทำให้สาย safety belt รัดให้ทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่ยึดติดอยู่กับเบาะแบบแยกกันไม่ออก และท่านไม่ต้องกลัวไม่ว่ารถจะกลิ้งไปสักกี่ตลบหรือชนอย่างรุนแรงขนาดไหน ไอ้เจ้าตัวนี้จะรัดท่านแน่นติดกับเบาะตลอดเวลา กันไม่ให้ท่านหลุดออกจากเบาะเวลาเกิดอุบัติเหตุ ทำไมทีมวิศวกรถึงได้ออกแบบไอ้เจ้าตัวนี้ออกมา ชื่อเต็ม ๆ ของเขาก็คือ preatensioner  หน้าที่ของมันก็อย่างที่บอกคือดึงตัว safety belt ให้ยึดติดแน่นเข้าไปอีก ไม่เหมือนกับรุ่นธรรมดาที่ไม่มี pretensioner ก็เพียงแต่มีหน้าที่ดึงรั้งตัวท่านไม่ให้ไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีระบบดึงกลับไปข้างหลังอีก ส่วนมากแล้วในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีตัวนี้ใส่มาเกือบทุกรุ่นแล้ว ดังนั้นเวลาท่านขับรถเพื่อความปลอดภัยแก่ตัวท่านเองควรรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งจะปลอดภัยที่สุด


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 10:28:27 PM
เบาะหน้าก็พอจะเห็นความฉลาดของมันไปแล้ว แล้วเจ้าเบาะหลังล่ะมันมีอะไรที่ฉลาดแบบนี้บ้างหรือเปล่า แหมแรงเงากำลังมันเดี๋ยวขอไปดูแป๊บนึงครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:14:01 AM
แหมเจ้า Range sport  นี่ก็สวยไม่เบาเหมือนกันแฮะ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:27:44 AM
สำหรับเบาะนั่งหลังนั้นรุ่น Electric Seat กับรุ่น Contour Seat นั้นจะมีความแตกต่างกันตรงที่ Seat heating เท่านั้นครับนอกนั้นจะเหมือนกันหมด ส่วนสวิสช์อุ่นเบาะนั้นจะอยู่ตรงช่องแอร์หลังครับ มีสองตัว ซ้ายกับขวาครับ ส่วนในรายละเอียดนั้นก็ตามนี้
สามารถพับได้เพื่อบรรทุกของเหมือนนังอ้วน
สามารถพับที่นั่งกลางลงมาเพื่อเป็นที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case า
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 06:26:18 PM
ตามไม่ทันเลยพี่เร็วมากๆ 8)


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 07:48:23 PM
อ้าว ก็มัน l322 นี่น้องมันวิ่งตั้ง 220 กม/ชม พี่ว่าก็เร็วอยู่นา ก็กลัวว่าท่าน ผอ. ท่านจะปิดปรับปรุงเว็บไซ้ด์ แล้วท่านจะปิดแบบชั่วคราวหรือค้างคืนครับ ยังไงก็ถ้าถูกมัดมืออยู่กับเตียงก็ไม่ต้องโทร.เรียกพี่ก็แล้วกันเรียกพี่บิณท์มาเก็บไปเลยน่าจะจบนะ ผอ.นะ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:23:25 PM
แหมกำลังมันเลย ผอ,สั่งเบรคอีกแล้วเดี๋ยวตัดสายเบรคซะนี่  เอาเบรคก็เบรคก็มาว่ากันต่อเลยเรื่องต่อไปเอาเบรคมือไปเลยดีไม๊ สั่งเบรคก็ได้เบรคครับ เอามาว่ากันเรื่องเบรคมือกันดีกว่าครับ เจ้าเบรคมือสำหรับเจ้า l322 นั้นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันครับ เนื่องจากเป็นระบบอิสระขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา โดยทั่วไปแล้วเราจะพบเห็นเบรคมือนั้นจะเป็นดรัมเบรคอยู่ที่ด้านท้ายของเกียร์พ่วง หรือเกียร์สโลว์ที่เราเรีียกขานกันนั่นแหละครับ แต่สำหรับของเจ้า l322 นั้นไม่มีครับ แล้วทางทีมวิศวกรเขาเอาไปไว้ที่ไหนกันล่ะครับ หรือว่าจะใช้ระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยก็ยังไม่ใช่อีก ยังคงใช้ระบบ manual ธรรมดา ๆ นี่แหละครับ ยังคงใช้บริการของสาย sling เบรคอยู่เหมือนเดิม เอ แล้วเอาไปซ่อนไว้ตรงไหนล่ะหว่า ลองคิดเป็นการบ้านก็แล้วกันนะ แล้วพี่จะกลับมาตอบให้ ขอดูแรงเงาแป๊บนึงครับ ขอบคุณ่ที่ติดตามครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:26:21 PM
พี่ๆเอาเบาะก่อนพี่ ;D
อยากได้แบบเนี้ย ผอ. ชอบมากๆๆๆๆๆๆ ;D ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:29:12 PM
อยากทำแบบนี้มั่งอะครับพี่สนป่าว :o :o


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:37:45 PM
เดิมๆมันก็แบบนี้หละครับ
แล้วปุ่มเยอะจัง


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:43:40 PM
พี่ๆโฆษณาแล้วพี่ๆๆๆ555 :D :D :D
มาต่อได้แย้วๆๆๆ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:46:14 PM
โมษณา ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 08:47:46 PM
555มาเร็วจังนาๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 09:01:22 PM
หน้ากะจังของ ปี 2006 เข้ากันมากเลยนะ  สั่งเลยดีกว่า
ขอไฟคู่หนึ่งนะคุณภู


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 09:33:52 PM
ดูๆไปก็สวยแหละ ;)


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 09:35:46 PM
พอดีกว่า โฆษณามากไปแล้ว   ;D

ตารางการซ่อมบำรุง New Range Rover L322                               
                              
ระยะการเปลี่ยน x 1200 กม.   12   24   36   48   60   72   84   96   108   120
                              
รายการเปลี่ยนตามระยะ                              
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เปลี่ยนไส้กรองอากาศ   p      p      p      p      p   
เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ออโตเมติก                              p
เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทรานส์เฟอร์                  p            
เปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย                  p            
เปลี่ยนน้ำมันเบรค   เปลี่ยนทุก 3 ปี                           
เปลี่ยนน้ำหล่อเย็น         p         p         p   
เปลี่ยนหัวเทียน                     p         
เปลี่ยนไส้กรองอากาศแอร์   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง (TDV6)      p      p      p      p      p
เปลี่ยนสายพานราวลิ้น (TDV6)                        p      
เปลี่ยนสายพาน                              p
                              
รายการการตรวจเช็ค                              
ภายในรถยนต์                              
รีเซ็ต ระบบเตือนการซ่อมบำรุง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
ตรวจสอบการทำงานเบรคมือ   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
ตรวจสอบการทำงานไฟเตือนต่างๆ และแตร   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
ตรวจสอบการทำงาน ระบบปัดน้ำฝนหน้า-หลัง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
ตรวจสอบการทำงาน สภาพของเข็มขัดนิรภัย      p      p         p      p   
                              
ภายนอกรถยนต์                              
เช็คสภาพยางใบปัดน้ำฝน   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็ค,หล่อลื่นยางขอบประตู   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
                              
ห้องเครื่องยนต์                              
ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
ตวรจสอบสภาพสายพานหน้าเครื่อง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็คระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์/ถังพักน้ำฉีดน้ำฝน   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็คระดับน้ำมันเบรค      p         p      p         p
เช็คระดับน้ำหล่อเย็น   p   p      p   p   p   p      p   p
                              
ช่วงล่าง                              
                              
ตรวจสอบการหมุนของล้อ   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
ตรวจสอบผ้าเบรค รอยรั่วต่างๆ   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็คระดับลมยาง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็คสภาพยาง   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็ครอยรั่วซึมของน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
เช็คส่วนประกอบระบบบังคับเลี้ยว      p      p         p      p   
เช็คน็อตช่วงล่างทั้งหมด      p      p         p      p   
ตรวจสอบระบบเบรค สายเบรค      p      p         p      p   
ตรวจสอบสายน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์      p      p         p      p   
ตรวจสอบท่อลม รอยรั่วของลม   p   p   p   p   p   p   p   p   p   p
                              


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 10:45:10 PM
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลการ maintenance พี่ว่าแำ้ำก้ตัว p ที่ยังไม่ตรงตามเวลานะครับ ลองแก้ดูนะท่าน ผอ.นะ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 11:19:38 PM
แล้วท่านผอ,จะปิดปรับปรุงเว็บไซต์เมื่อไหร่ครับ บอกด้วยนาพี่จะได้ไปทริปทางเหนือตอนปิดปรับปรุงเว็บ แล้วเราไปใช้บ้านเล็กไม่ได้เหรอครับ LAND ROVER HOUSE.NET ไงทำยังไงให้ Link กันได้ไม๊ครับช่วยหน่อยนะ ผอ.นะ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 11:37:11 PM
หน้ากะจังของ ปี 2006 เข้ากันมากเลยนะ  สั่งเลยดีกว่า
ขอไฟคู่หนึ่งนะคุณภู
ไม่เอาไม่ให้มาเอาL322ด้วยกันดีกว่านะๆๆๆๆ :-* :-*


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 15, 2012, 09:52:49 AM
เอาละพักโฆษณามาพอสมควรถึงไหนกันแล้วล่ะครับเดี๋ยวนึกก่อน อ้อถึงเรื่องเบรคมือค้างเอาไว้ ที่พี่ถามเอาไว้ว่าทางทีมวิศวกรผู้ออกแบบเขาเอาเจ้าHandbrake ไปซ่อนเอาไว้ที่ไหน คำตอบก็คือได้นำเอาไปติดตั้งไว้ที่ด้านในของจาน disc brake ตัวหลังทั้ล้อซ้ายและล้อขวา ดังนั้นส่ย brake cable จึงต้องมีถึงสองเส้นและจะยาวกว่าเดิมมากขึ้น เพราะว่าของนังอ้วนหรือรุ่นก่อนหน้านี้ทุกรุ่นเบรคมือจะอยู่ที่ท้ายเกียร์พ่วงสายเบรคจึงแค่สั้น ๆครับ ไม่ถึงเมตร อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าเบรคมือนั้นถ้าจะให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นต้องเบรคที่เพลากลาง ถ้า/ปไว้ที่จาน disc brake แล้วประสิทธิภาพจะลดลงมาหรือไม่ จะมีการลื่นไถลเมื่อรถจอดอยู่ในมุมก้มหรือมุมเงยมาก ๆ ถ้าให้ตอบก็คือใช่ครับประสิทธิภาพจะลดลงมาบ้าง แต่ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดของทีมวิศวกรเอง ซึ่งได้นำเจ้าฝักเบรคมือไปใส่เอาไว้ด้านในของจาน disc brake  ถึงแม้ว่าจะเป็นจานdisc brake ก็ตาม ทำให้ไม่ต้องมีตัว drum brake ออกมารับ เดี๋ยวจะลงรูปมาให้ดูเพื่อจะไดเข้าใจ ถ้านึกภาพได้ง่าย ๆ เลยก็ drum brake ล้อหลังนั่นแหละครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากจาน drum brake เป็นจาน disc brake แล้วเอาเจ้าฝักเบรคไปใส่ไว้ด้านใน การลดลงของประสิทธิภาพของเจ้าเบรคมือตัวนี้นี่เองจึงต้องมีระบบป้องกันการลื่นไถลของรถเวลาที่ใส่เบรคมือเอาไว้เมื่อจอดรถในที่ลาดชันหรือลาดเอียง ถ้าสังเกตุกันดี ๆ แล้ว เจ้าl322 นั้นไม่สามารถดึงกุญแจออกจากรูกุญแจได้ในขณะที่ใส่เกียร์ N หรือเกียร์ว่าง จะดึงลูกกุญแจออกได้ต้องจอดในตำแหน่งเกียร์ p หรือ park เท่านั้นครับ  ดังวนั้นสำหรับ l322 นั้น เวลาที่จะไปจอดตามห้างสรรพสินค้า หรือตามโรงแรม คงจะจอดขวาง หรือจอดซ้อนคันไม่ได้ครับ เพราะด้วยเหตุผลอันนี้นี่เอง  เข็นไม่ได้กลับออกมาไม่หูชาก็ต้องทำสีรถใหม่ไม่คุ้มกันหรอกครับ นั่นก็เป็็นผลพวงมาจากเบรคมือด้วยเช่นกัน เพราะอะไรหชรือครับ เพราะทางทีมวิศวกรผู้ออกแบบเขารู้อยู่แล้วในเรื่องของประสิทธิภาพที่ลดลงมา จึงทำระบบออกมาไม่ให้จอดที่เกียร์ว่าง เพราะในที่ลาดเอียงเองรถอาจจะมีการลื่นไถลได้และอาจจะทำให้รถไหลลงไปชนกับรถที่จอดอยู่ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขวางอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ครับ แล้วทำไมเมื่อใส่ที่ตำแหน่งเกียร์ p หรือเกียร์ park แล้วรถไม่ไหลไปไหน ก็เพราะว่าที่เกียร์ park นั้นก็บอกอยู่แล้วว่าเกียรจอด แต่ในบางสถานการณ์ผู้ขับขัี่เองไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ยกตัวอย่างที่เราจะไปจอดตามห้างนั่นแหละครับ คำนึงที่จอดรถเพียงอย่างเดียว เพราะกว่าจะวนหาที่จอดได้ก็หมดน้ำมันไปพอสมควร เลยจำเป็นที่จะต้องหาช่องจอดที่พอจะจอดได้ แต่ก็ไปขวางคันอื่นอีก /ดังนั้นจึงต้องตามที่เขาออกแบบมาเพื่อความปลอดภัย แล้วถ้าเกิดว่าทางทีมวิศวกรเกิดคิดว่าคงไม่เป็นไร ออกแบบมาให้ดึงเบรคมือ ใส่เกียร์ว่าง ดึงลูกกุญแจได้ แล้วถ้าเกิดมีกรณีไหลไปชนสิ่งกีดขวาง หรือไหลลงไปเองโดยที่จอดเอาไว้เฉย ๆ ก็คงจะไม่เกิดผลดีกับผู้ผลิต


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 15, 2012, 10:57:51 AM
มากนักกลับจะมีแต่ผลเสียที่ติดตามมามากมาย ที่จะต้อง  recall  เรียกรถกลับมาเพื่อแก้ไข  อ่านแล้วก็ไม่ต้องวิตกกังวลไปมากมายหรอกครับ เพราะถึงยังไงทางทีมวิศวกรผู้ดูแลเขาทำ อกมาดีที่สุดแล้วเขาถึงจะเอาเข้า production line ผลิตออกมาให้เราใช้กัน แล้วก็กลับมาที่เกียร์จอดกัน แล้วไอ้เกรยร์จอดทำไมมันถึงหยุดรถเอาไว้ได้โดยที่ไม่มีการลื่นไถลในเวลาจอด เพราะว่าที่เกียร์จอดนั้นเรา/ม่สามารถที่จะเข็นชรถได้ เหมือนรถถูกใส่เกียร์อยู่ครับ เลพราะในเกียร์ที่ out put shaft นั้น เวลาใส่ที่เกียร์จอดจะมีตัวล็อคมาล็อคเอาไว้ จึงทำให้เข็นรถไม่ได้ รถไม่สามารถไหลลื่นได้ เพราะเพลากลางไม่สามารถที่จะหมุนไปได้ นี่แหละครับที่ต้องยอมรับฝรั่งเขาในเรื่องของความคิด ความเป็นระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ แบบแผน ไม่ต้องอพไรมากหรอกครับแค่คุณลองไปซื้ออาหารหรือตั๋วรถไฟ หรืออะไรก็ตามที่ฝรั่งเขาเข้าคิวกันอยู่คุณลองลองไม่เข้าคิวดูสิ ขอบอกนะครับว่าเรืาองใหญ่ เพราะฝรั่งเขาถูกอบรมมาแบบนั้นคือเข้าคิวรอ แต่ถ้าใครมาลัดคิวเขาจะไม่ยอมเลยครับไม่เชื่อลองดูสิครับถ้าอยากทะเลาะกับฝรั่งก็ลองดูครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 15, 2012, 11:43:24 AM
คุยกันมาตั้งนานแล้วไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย มีอีกครับ ด้วยเจ้าเบรคมือสำหรับรุ่นนี้นั้นจะมีระบบไฟฟ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยครับ ถ้าหากว่าเราดึงเบรคมือเอาไว้แล้วเกิดลืมแล้วออกรถไปเลย ท่านจะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนและที่หน้าจอสั่งให้ท่านปลดเบรคมือออกก่อน Hand Brake Release  ก็ดีกว่านังอ้วนขึ้นมาหน่อยก็ตรงนี้แหละครับ ของนังอ้วนนั้นมีเพียงสัญญาณไฟรูปเบรคมือโชว์ที่หน้าปัมทฺ์เท่านั้นครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 15, 2012, 08:35:21 PM
 :o :o


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 15, 2012, 09:38:29 PM
ที่จริงแล้วพี่ควรจะเขียนข้อความนี้ก่อนที่จะเ่เข้าไปในเนื้อเรื่องแต่ในเมื่ออ่านจบไปแล้วก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปเภอะครับ ทาง land rover เองนั้นก็งงงงกับ hand brake ของเจ้า l322 อยู่เหมือนกันเพราะมันเป็นครั้งแรกของ Land rover เลยก็ว่าได้ที่ได้เปลี่ยนเบรคมือที่เบรคที่เพลากลาง มาเป็นเบรคที่ล้อ ในประวัติศาสตร์ของ Land rover เองก็คงจะต้องจารึกไว้เป็นตำนานเหมือนกัน เพราะทุกรุ่นที่ผ่านมานั้นเบรคมือจะอยู่ที่ท้ายเกียร์พ่วงทั้งหมด ดังนั้นทางผู้ออกแบบมานั้นคงคิดในใจอยู่แล้วว่าจะให้เจ้า l322 นั้นเป็นราชันย์แห่ง offroad ต่อไปหรือเปล่า  หรือจะให้อยู่บน on road เพียงอย่างเดียว ทำไมถึงทำกับเจ้าl322 ได้ ดูซิ ถ้าเทียบกับปลาก็เป็นปลาไม่มีกระดูก แถมเบรคมือประสิทธิภาพยังลดลงอีก เพลาล้อก็ไม่มี ดู ๆ ไปจะเหมือนเต่าไม่มีกระดองนะนี่ก็ว่ากันไปครับ แล้วจะมีอะไรที่เป็นแบบนี้อีกหรือไม่ ก็ค่อย ๆ ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งเบื่อ นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง ยังไม่ไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 15, 2012, 10:39:19 PM
พักโฆษณา สำหรับพี่ปัญจะเลยพี่ๆๆๆๆ :o :o


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 16, 2012, 08:23:56 AM
อุแม่เจ้าสวยมากเลย ภายในสีครีมด้วย ถูกใจมาก ๆ เลยครับ ถ้างั้นคันใหม่ของคุณภูธารพี่ขอเอามาทำสีแดงก่อนได้ไม๊อะ นะนะๆๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้ต้องขอเบรคกระทู้นี้ไว้ก่อน เพราะน้อง ๆ ถามมาว่าแล้วเจ้า Range sport ที่เปิดกระทู้ไว้ไม่เห็นเข้าไปเขียนเลย  เอาเลยงานเข้าครับ จัดให้เลยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: RANGE ที่ พฤศจิกายน 17, 2012, 01:04:00 AM
ที่จริงแล้วพี่ควรจะเขียนข้อความนี้ก่อนที่จะเ่เข้าไปในเนื้อเรื่องแต่ในเมื่ออ่านจบไปแล้วก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปเภอะครับ ทาง land rover เองนั้นก็งงงงกับ hand brake ของเจ้า l322 อยู่เหมือนกันเพราะมันเป็นครั้งแรกของ Land rover เลยก็ว่าได้ที่ได้เปลี่ยนเบรคมือที่เบรคที่เพลากลาง มาเป็นเบรคที่ล้อ ในประวัติศาสตร์ของ Land rover เองก็คงจะต้องจารึกไว้เป็นตำนานเหมือนกัน เพราะทุกรุ่นที่ผ่านมานั้นเบรคมือจะอยู่ที่ท้ายเกียร์พ่วงทั้งหมด ดังนั้นทางผู้ออกแบบมานั้นคงคิดในใจอยู่แล้วว่าจะให้เจ้า l322 นั้นเป็นราชันย์แห่ง offroad ต่อไปหรือเปล่า  หรือจะให้อยู่บน on road เพียงอย่างเดียว ทำไมถึงทำกับเจ้าl322 ได้ ดูซิ ถ้าเทียบกับปลาก็เป็นปลาไม่มีกระดูก แถมเบรคมือประสิทธิภาพยังลดลงอีก เพลาล้อก็ไม่มี ดู ๆ ไปจะเหมือนเต่าไม่มีกระดองนะนี่ก็ว่ากันไปครับ แล้วจะมีอะไรที่เป็นแบบนี้อีกหรือไม่ ก็ค่อย ๆ ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งเบื่อ นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง ยังไม่ไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยครับ


อ่านเรื่องเบรคของท่านพี่  ทำให้ผมนึกได้ว่าหมดหน้าฝนแล้วถีงเวลาต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคนังอ้วนระจำปีนี้ กะว่าจะเปลี่ยนถ่ายเองที่ปั้มแถวบ้าน

ศิษย์พี่ช่วยแนะนำหรือมีเทคนิคข้อควรทำ-ระวังอย่างไรบ้างคร้าบ  ผมคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว (จำไม่ได้ว่าให้ไล่ลมล้อไกลสุดหรือใกล้แม่ปั้มสุดก่อน)

ช่วยเรียกความจำกลับคืนให้ผมหน่อยคร้าบ.... ;D




หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 17, 2012, 08:40:33 AM
ตอบให้เลยนะครับศิษย์น้องครับ ก็ย้อนกลับไปนิดนึงครับ สำหรับนังอ้วนนั้นจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทุกชนิดและ filter ทุกตัวที่ทุก ๆ 40000 กิโลเมตรครับ ถ้านับตามกิโลเมตร ครั้งแรกก็ที่ 40000 80000 120000 160000 200000  พี่ว่าถึงปัจจุบันรถกิโลน่าจะอยู่ประมาณนี้แหละครับ ถ้าเฉลี่ยแล้วใช้ปีละประมาณหมื่นกว่าโล ควรจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดไปเลยทีเดียวดีกว่าครับ แต่ถ้าหากทำไปแล้วก็ข้ามไปครับ  มาว่ากันเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคครับ

อันดับแรกก็ต้องดูน้ำมันเบรคก่อนครับว่าใช้ของตัวไหนอยู่ แต่ตาม spec แล้วต้องใช้ Dot 4 เท่านั้นครับ แล้วก็ห้ามผสมกันโดยเด็ดขาดใช้ของยี่ห้อใดก็ยี่ห้อหนึ่งไปเลยครับนี่คือข้อจำกัดไม่ใช่แต่ Range rover เท่านั้นครับ รถทุกค่ายทุกคันเหมือนกันหมด ดังนั้นต้องระวังครับ พอน้ำมันเบรคพร่องลงไปเนื่องมาจากผ้าเบรคสึกก็เติมน้ำมันเบรคลงไป ก่อนเติมควรปรึกษากับช่างที่ซ่อมรถท่านอยู่ว่าใช้น้ำมันเบรคยี่ห้ออะไรอยู่ ควรจะหามาเติมให้ถูกต้องให้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่รู้ว่าใช้ยี่ห้อใดอยู่ก็ไปซื้อยี่ห้อใหม่มาแล้วถ่ายของเก่าทิ้งออกไปให้หมดจะดีที่สุดครับ แล้วก็ใช้โดยประมาณก็ 1.5 - 2 ลิตรครับ

ส่วนมากแล้วของนังอ้วนนั้นจะเป็นมิตรกับ Ate dot 4 (เอเต้) จะเป็นฝาสีเหลืองหรือสีน้ำเงินใช้ได้หมดครับ แต่ใน spec จริง ๆ แล้วให้ใช้ของ Lucas dot 4 ครับ แต่เนื่องจากในต่างจังหวัดนั้นหาซื้อได้ยากมาก ทางพี่เองก็เลยเปลี่ยนมาใช้ของยี่ห้อนี้มา เกือบสิบปีแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ และก็อีกอย่างนึงก็เป็นน้ำมันเบรคที่รถ benz ใช้กันอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร เพราะในเรื่องคุณภาพแล้ว ก็อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนเวลาที่จะต้องหาซื้อก็หาซื้อได้ตามร้านขายอะหลั่ยได้ทุกร้านเลยครับ ก็ลองดูกันครับอาจจะมีตัวอื่นที่ดีกว่าตัวนี้ก็ได้ครับ แต่สำหรับนังอ้วนไม่เคยมีปัญหากับ seal solinoids ภายในระบบเบรคครับ

เมื่อถ่ายน้ำมันเบรคเก่าออกแล้วก็เติมน้ำมันเบรคใหม่เข้าไปให้เต็มกระปุกเติม แล้วก็ทำการไล่ลมที่สกรูไล่ลมตัวแรกที่ด้านข้าง ของ abs booster (ตัวล่างสุด) ก่อนครับ จนฟองอากาศหมด แล้วก็ไปไล่ลมที่ล้อหน้าขวาเป็นอันดับแรก   แล้วก็ไปที่ล้อหน้าซ้าย เป็นอันดับต่อไป ทั้งหมดนี้ใช้วิธีไล่ลมเหมือนทั่ว ๆ ไป คือย้ำ ๆๆๆๆๆๆ  แล้วเหยียบ แล้วก็คลายสกรูไล่ลม ทำแบบนี้หลาย ๆ ครั้งจนแน่ใจว่าน้ำมันเบรคเก่าหมดแล้ว สังเกตุง่าย ๆ น้ำมันเบรคเก่าสีจะออกสีชาส่วนน้ำมันเบรคใหม่จะสีใส และไม่มีฟองอากาศในระบบแล้วก็ใช้ได้แล้วครับ แล้วก็กลับไปที่ abs booster อีกครั้งครับจะมีสกรูไล่ลมคู่กันอยู่ที่ด้านบนอีกสองตัว ไล่ลมที่ตัวสี้นก่อนแล้วก็ไล่ที่ตัวยาววิธีการก็เปิดสวิสช์กุญแจ on เหยียบคันเหยียบเบรคค้างไว้ครัจนกว่าฟองจะหมดครับ แต่ถ้าฟองยังไม่หมดให้ทำซ้ำอีกครับ

ส่วนที่ล้อด้านหลังนั้นก็เริ่มที่ล้อด้านหลังขวากันก่อน โดยใช้วิธี เปิดสวิสช์กุญแจ on แล้วเหยียบคันเยียบเบรค แล้วก็คลายสกรูไล่ลม  ทำหลาย ๆ ครั้งจนกว่าน้ำมันเบรคเก่าจะออกมาหมดและอากาศในระบบจะหมดไปครับ ส่วนล้อหลังด้านซ้ายก็ทำแบบนี้เหมือนกันครับ  ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคกับไล่ลมเบรคครับ  ข้อควรระวังนะครับ ระหว่างที่ทำการไล่ลม อย่าลืมดุระดับน้ำมันเบรคในกระปุกเติมด้วยนะครับ ถ้าเกิดน้ำมันเบรคเกิดขาดหรือหมดไป ก็ต้องเติมให้เต็มแล้วก็เริ่มไล่ลมใหม่อีกครั้งนึงครับ

ส่วนเทคนิคที่จะแนะนำนั้นก็ในเรื่องของน้ำมันเบรคเอง เจ้าตัวนี้มีฤทธิ์กัดสีได้ทุกอย่างดังนั้นควรระวัง ในเรื่องของน้ำมันเบรคที่ถ่ายทิ้งออกมาแล้วกัดสีล้อแม็กครับ ทางที่ดีควรหาท่อต่อออกมาจาก bleeding screwต่อลงขวดเลยจะดีกว่า แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนทำการไล่ลมควรฉีดน้ำไปที่ล้อแม็กก่อนทำการไล่ลม และควรรีบล้างหลังจากทำการไล่ลมเสร็จแล้วห้ามลืมนะครับ





หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 17, 2012, 06:44:12 PM
มีน้อง ๆ ถามมาว่าน้ำมันเบรคระหว่าง DOT 3 กับ   DOT 4 นั้นทำไมถึงใช้แทนกันไม่ได้ ในเมื่อเป็นน้ำมันเบรคเหมือนกัน แล้วน้ำมันหมูกับน้ำมันพืชล่ะใช้แทนได้หรือไม่ ก็มาแปลก ๆ อยู่ แต่เมื่ออุตส่าห์ถามมาก็จะพยายามตอบจากประสบการณ์เลยก็แล้วกันนะน้องนะ

น้ำมันเบรคที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้นั้นก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ถ้าน้อง ๆ ที่ได้ติดตามรถ FORMULA l ที่มีแข่งขันกันในแต่ละปีนั้น แต่ละค่ายก็ผลัดกันชนะผลัดกันแพ้ไป แต่การแข่งขันรถ FORMULA l นั้นเขาไม่ได้ต้องการแค่แพ้หรือชนะกันในสนามแข่งขันเท่านั้นครับ มีเหตุผลอีกมากมายที่เขาต้องการที่จะพัฒนารถยนต์ให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น ความคงทนแข็งแรงเพิ่มขึ้น ทดสอบยาง ทดสอบเครื่องยนต์ ทดสอบระบบเบรค ทดสอบระบบเกียรื ช่วงล่าง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคันรถเลยก็ว่าได้ แล้วนำสิ่งที่ได้ใส่ไปในรถ FORMULA l นำออกมาใส่กับรถที่ใช้งานกันจริง ๆ บนท้องถนนในรุ่นที่ผลิตในอนาคตอันใกล้

น้ำมันเบรคก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการแข่งขันรถุ FORMULA l นี่แหละครับ มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ ในยุคแรก ๆ นั้นอาจจะไม่ได้รับการพัฒนาอะไรมากนัก เพราะว่ารถยังมีความเร็วไม่มากในยุคแรก ๆ แต่หลังจากนั้นต่อ ๆ มารถมีการพัฒนาความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันนั้นยกตัวอย่าง เอาง่าย ๆ Range rover sport เครื่องยนต์ 5000 cc ทราบไม๊ละครับว่าให้ม้าออกมากี่ตัว ตอบเลยครับ 510 ตัวครับอ้วน ๆ ด้วยย แล้วถ้าระบบเบรคไม่ถูกพัฒนาตามกันไป ถามว่าจะเอาอะไรมาเบรคครับ 0-100 m ทำได้ 7.6 วินาทีเอง นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องพัฒนาระบบเบรคตามกันไปด้วย บางท่านอาจจะคุ้นหูกับ Brembo 2 port 4 port 6 port หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะโฆษณาออกมาว่าเอาอยู่ มั่นใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ก็จริงตามโฆษณาครับ แต่สนนราคาค่อนข้างสูงมาก ตัวนี้ก็มาจากรถ FORMULA l เหมือนกันครับ

ก็มาเข้าเรื่องน้ำมันเบรคของเรากันครับ คำว่า DOT 3 นั้นจะเป็นค่าของ us safety standard กำหนดให้น้ำมันเบรคนั้นมีค่า Wet boiling point อยู่ที่ 150 องศาเซลเซียส หรือ(302 องศษฟาเรนไฮ)
ส่วนเจ้า DOT 4  นั้นก็จะมีค่า Wet boiling point อยู่ที่ 170 องศาเซลเซียส หรือ (338 องศาฟาเรนไฮ)  แต่เจ้า DOT 4 นั้นจะมีอีกตัวหนึ่งเพิ่มเข้ามาก็คือ Boiling point ที่ 265 องศาเซลเซียส หรือ (509 องศาฟาเรนไฮ)

เห็นไหมละครับว่าขนาดน้ำมันเบรคยังต้องถูกผลิตออกมาให้ทนรับความร้อนสูง ๆ ได้เลย ถ้า spec ให้ใช้ Dot 4 แล้วน้องเกิดไปใช้ Dot 3 ก็มีคำตอบให้แล้วครับ น้ำมันเบรคจะทนความร้อนไม่ไหวและเกิดการระเหยในที่สุด และก็จะถึงจุดเดือด และก็จะเกิดการ Vapour lock ในระบบน้ำมันเบรคครับ ท่านทราบไหมล่ะครับเวลาที่ท่านเบรครถในแต่ละครั้งนั้นระบบเบรคได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นเท่าไร น้ำมันเบรคร้อนเท่าใดในเวลานั้นยิ่งรถติดนาน ๆ ค่อย ๆ ไหลนั่นแหละครับความร้อนจะสูง จนเมื่อรถได้วิ่งความเร็วความร้อนก็จะถูกระบายออกไปโดยลม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 17, 2012, 07:10:45 PM
ดังนั้นควรศึกษาเกี่ยวกับตัวรถที่ท่านใช้ก่อนจะดีที่สุด และก่อนการที่จะตัดสินใจทำอะไรเกี่ยวกับตัวรถโดยที่ยังไม่มีข้อมูล ควรปรึกษาผู้รู้หรือนายช่างประจำรถก่อนที่จะเสียหายโดยที่ไม่รู้ครับ แล้วในเมืองหนาวน้ำมันเบรคจะทนความหนาวได้เท่าไร แล้วมันจะแข็งคาท่อไม๊  แล้วถ้าเป็นน้ำมันเครื่องมันจะแข็งคาอ่างหรือเปล่า น้ำในหม้อน้ำจะแข็งหรือไม่ แล้วน้ำมันหมูกับน้ำมันพืชจะใช้แทนน้ำมันเบรคได้หรือไม่ เดี๋ยวกลับมาตอบครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2006) top ten serious case
เริ่มหัวข้อโดย: RANGE ที่ พฤศจิกายน 18, 2012, 12:04:32 AM
ตอบให้เลยนะครับศิษย์น้องครับ ก็ย้อนกลับไปนิดนึงครับ สำหรับนังอ้วนนั้นจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทุกชนิดและ filter ทุกตัวที่ทุก ๆ 40000 กิโลเมตรครับ ถ้านับตามกิโลเมตร ครั้งแรกก็ที่ 40000 80000 120000 160000 200000  พี่ว่าถึงปัจจุบันรถกิโลน่าจะอยู่ประมาณนี้แหละครับ ถ้าเฉลี่ยแล้วใช้ปีละประมาณหมื่นกว่าโล ควรจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดไปเลยทีเดียวดีกว่าครับ แต่ถ้าหากทำไปแล้วก็ข้ามไปครับ  มาว่ากันเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคครับ

อันดับแรกก็ต้องดูน้ำมันเบรคก่อนครับว่าใช้ของตัวไหนอยู่ แต่ตาม spec แล้วต้องใช้ Dot 4 เท่านั้นครับ แล้วก็ห้ามผสมกันโดยเด็ดขาดใช้ของยี่ห้อใดก็ยี่ห้อหนึ่งไปเลยครับนี่คือข้อจำกัดไม่ใช่แต่ Range rover เท่านั้นครับ รถทุกค่ายทุกคันเหมือนกันหมด ดังนั้นต้องระวังครับ พอน้ำมันเบรคพร่องลงไปเนื่องมาจากผ้าเบรคสึกก็เติมน้ำมันเบรคลงไป ก่อนเติมควรปรึกษากับช่างที่ซ่อมรถท่านอยู่ว่าใช้น้ำมันเบรคยี่ห้ออะไรอยู่ ควรจะหามาเติมให้ถูกต้องให้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่รู้ว่าใช้ยี่ห้อใดอยู่ก็ไปซื้อยี่ห้อใหม่มาแล้วถ่ายของเก่าทิ้งออกไปให้หมดจะดีที่สุดครับ แล้วก็ใช้โดยประมาณก็ 1.5 - 2 ลิตรครับ

ส่วนมากแล้วของนังอ้วนนั้นจะเป็นมิตรกับ Ate dot 4 (เอเต้) จะเป็นฝาสีเหลืองหรือสีน้ำเงินใช้ได้หมดครับ แต่ใน spec จริง ๆ แล้วให้ใช้ของ Lucas dot 4 ครับ แต่เนื่องจากในต่างจังหวัดนั้นหาซื้อได้ยากมาก ทางพี่เองก็เลยเปลี่ยนมาใช้ของยี่ห้อนี้มา เกือบสิบปีแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ และก็อีกอย่างนึงก็เป็นน้ำมันเบรคที่รถ benz ใช้กันอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร เพราะในเรื่องคุณภาพแล้ว ก็อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนเวลาที่จะต้องหาซื้อก็หาซื้อได้ตามร้านขายอะหลั่ยได้ทุกร้านเลยครับ ก็ลองดูกันครับอาจจะมีตัวอื่นที่ดีกว่าตัวนี้ก็ได้ครับ แต่สำหรับนังอ้วนไม่เคยมีปัญหากับ seal solinoids ภายในระบบเบรคครับ

เมื่อถ่ายน้ำมันเบรคเก่าออกแล้วก็เติมน้ำมันเบรคใหม่เข้าไปให้เต็มกระปุกเติม แล้วก็ทำการไล่ลมที่สกรูไล่ลมตัวแรกที่ด้านข้าง ของ abs booster (ตัวล่างสุด) ก่อนครับ จนฟองอากาศหมด แล้วก็ไปไล่ลมที่ล้อหน้าขวาเป็นอันดับแรก   แล้วก็ไปที่ล้อหน้าซ้าย เป็นอันดับต่อไป ทั้งหมดนี้ใช้วิธีไล่ลมเหมือนทั่ว ๆ ไป คือย้ำ ๆๆๆๆๆๆ  แล้วเหยียบ แล้วก็คลายสกรูไล่ลม ทำแบบนี้หลาย ๆ ครั้งจนแน่ใจว่าน้ำมันเบรคเก่าหมดแล้ว สังเกตุง่าย ๆ น้ำมันเบรคเก่าสีจะออกสีชาส่วนน้ำมันเบรคใหม่จะสีใส และไม่มีฟองอากาศในระบบแล้วก็ใช้ได้แล้วครับ แล้วก็กลับไปที่ abs booster อีกครั้งครับจะมีสกรูไล่ลมคู่กันอยู่ที่ด้านบนอีกสองตัว ไล่ลมที่ตัวสี้นก่อนแล้วก็ไล่ที่ตัวยาววิธีการก็เปิดสวิสช์กุญแจ on เหยียบคันเหยียบเบรคค้างไว้ครัจนกว่าฟองจะหมดครับ แต่ถ้าฟองยังไม่หมดให้ทำซ้ำอีกครับ

ส่วนที่ล้อด้านหลังนั้นก็เริ่มที่ล้อด้านหลังขวากันก่อน โดยใช้วิธี เปิดสวิสช์กุญแจ on แล้วเหยียบคันเยียบเบรค แล้วก็คลายสกรูไล่ลม  ทำหลาย ๆ ครั้งจนกว่าน้ำมันเบรคเก่าจะออกมาหมดและอากาศในระบบจะหมดไปครับ ส่วนล้อหลังด้านซ้ายก็ทำแบบนี้เหมือนกันครับ  ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคกับไล่ลมเบรคครับ  ข้อควรระวังนะครับ ระหว่างที่ทำการไล่ลม อย่าลืมดุระดับน้ำมันเบรคในกระปุกเติมด้วยนะครับ ถ้าเกิดน้ำมันเบรคเกิดขาดหรือหมดไป ก็ต้องเติมให้เต็มแล้วก็เริ่มไล่ลมใหม่อีกครั้งนึงครับ

ส่วนเทคนิคที่จะแนะนำนั้นก็ในเรื่องของน้ำมันเบรคเอง เจ้าตัวนี้มีฤทธิ์กัดสีได้ทุกอย่างดังนั้นควรระวัง ในเรื่องของน้ำมันเบรคที่ถ่ายทิ้งออกมาแล้วกัดสีล้อแม็กครับ ทางที่ดีควรหาท่อต่อออกมาจาก bleeding screwต่อลงขวดเลยจะดีกว่า แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนทำการไล่ลมควรฉีดน้ำไปที่ล้อแม็กก่อนทำการไล่ลม และควรรีบล้างหลังจากทำการไล่ลมเสร็จแล้วห้ามลืมนะครับ




ขอบคุณครับท่านพี่  วันนี้ไปเปลี่ยนที่คาร์แคร์แถวบ้านมาแล้วใช้เอเต้ dot4 หมดไปลิตรกว่าๆ  แต่ช่างใช้วิธีเปลี่ยนเเละไล่ลมเหมือนรถทั่วไป

โดยใช้สายยางดูดน้ำมันเบครเก่าออกจากกระปุกแล้วเติมของใหม่จนเกือบเต็ม จากนั้นก็ติดเครื่องแล้วก็ไปไล่น้ำมันเก่าที่ปั้มล้อหลังซ้ายก่อน

ตามด้วยล้องหลังขาวและก็ล้อคู่หน้า   ล้อหลังไล่น้ำมันเก่าออกได้ดีปกติ แต่ล้อคู้หน้าย้ำ+เหยียบเบรคไล่น้ำมันออกได้น้อย(ไม่แรงเหมือนข้างหลัง)

สงสัยจะทำไม่ถูกไม่ครบขั้นตอนหรือเปล่า   เดี๋ยววันไหนผมขับไปหาศิษย์พี่ดีกว่าจะได้จัดการให้เรียบร้อย ตอนนี้ก็เบรคได้ปกติดีไม่มีปัญหา

อ้อ!อีกอย่างท่านพี่มีกันชนหลังของนังอ้วน (กันชนพลาสติกสีดำทั้งชิ้นมือ2) เหลือบ้างมั้ยครับ  ดวงไม่ดีจอดอยู่ริมฟุตตบาทยังโดนแมงกะไซค์

มาชนท้ายทำให้กันชนมุมขวาแตกชิ้นส่วนตรงที่ยึดกับแผ่นยางกันโคลนที่ล้อแตกหัก-หายไป  ดูให้หน่อยคร้าบอยากหล่อเหมือนเดิมเร็วๆ... ;D



หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 19, 2012, 09:02:28 AM
ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรมีแต่คนโดนชนข้างหลังมา ที่บ้านเร้นจ์นั้นตอนนี้ไม่มีของเลยครับ แต่ของใหม่ก็เกือบสองหมื่นเหมือนกันนะ ลองหาดูครับเดี๋ยวพี่จะช่วยหาจากหลาย ๆ ที่ให้ครับว่าจะมีหรือไม่


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 19, 2012, 08:27:48 PM
ไหน ๆ ก็เขียนถึงเรื่องเบรคอยู่ก็ขอวกไปที่ระบบเบรคนิดนึงครับ ระบบเบรคของเจ้า l322 นั้นจะเป็น disc brake ทั้งสี่ล้อ โดย diameter ของจาน disc ล้อหน้าจะอยู่ที่ 344 mm ส่วนลูกสูบจะเป็นแบบ single 60 mm ส่วนจาน disc brake ล้อห่ลังนั้น diameter จะอยู่ที่ 354 mm ส่วนลูกสูบเบรค ก็จะเป็นแบบ single 42 mm อีกเช่นกัน ที่จะเขียนถึงก็คือเรื่องของผ้าเบรคครับ เนื่องจากในรุ่นนี้ระบบเตือนผ้าเบรคหมด  brake pads detect sensor จะมีมาให้ด้วย ซึ่งได้รับการพัฒนามาแล้ว โดยจะมี sensor อยู่ที่ล้อหน้าและล้อหลังด้านซ้าย ด้านเดียวเท่านั้นครับ ถ้าผ้าเบรคสึกหรอบางจนจาน disc brake ไปสัมผัสกับ sensor จน sensor ขาด สัญญาณจะโชว์ไปที่หน้าปัทมม์ทันที  จะทำให้เราทราบว่าผ้าเบรคใกล้จะหมดแล้ว ยังไม่หมดทีเดียวหรอกครับยังคงวิ่งได้อีกเป็นร้อยกิโลเมตรครับ ไม่ต้องตกใจเมื่อเห็นจอหน้าปัทม์เตือนนะครับ ก็อีกแหละครับในเมื่อมีระบบเตือนเพิ่มขึ้นมาก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นธรรมดาครับ เมื่อทำการเปลี่ยนผ้าเบรคทุกครั้งก็จะต้องเปลี่ยน เจ้า brake pads detect sensor ตัวนี้ด้วยพร้อมกับผ้าเบรคนะครับ เพราะว่าถ้า sensor ชำรุดไปแล้วก็ต้องเปลี่ยนใหม่ครับ ตัวละประมาณพันกว่าบาทครับ ส่วนหน้าจอdisplay จะโชว์คำว่า Check brake pads แต่ถ้าเกิดด้านขวาเกิดบางแล้วหมดก่อนก็คงจะเหมือนกับนังอ้วนเหมือนกันครับ ของนังอ้วนนั้นจะไม่มีระบบเตือนผ้าเบรคมาให้นะครับ แต่จะให้ระบบเสียงเตือนมาแทนครับ เมื่อใดก็ตามที่ผ้าเบรคหมดแล้วได้ยินเสียงเหล็กสีกับเหล็กนั่นแหละครับถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว ผ้าเบรคหมดเหล็กของผ้าเบรคไปสีกับจานเบรคแล้วครับ แล้วก็ต้องเปลี่ยนทั้งจาน disc แล้วก็ผ้าเบรคด้วยไปพร้อมกันไปเลยทีเดียวนะครับ ล้อเล่นนะครับ  ก็ควรระมัดระวังเอานะครับในเรื่องของผ้าเบรค ต้องหมั่นคอยตรวจความหนาบางเอา และสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ๆ ก็คือ เจ้าตัว slide เป็นสนิมหรือไม่เลื่อน จะทำให้ผ้าเบรคทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผ้าเบรคสึกหรอเร็วกว่ากำหนด และจะเกิดความร้อน กินน้ำมันเชื้อเพลิง รถไม่มีกำลัง ดังนั้นต้องคอยหมั่นตรวจเช็ค ลูกยางกันฝุ่นทั้งตัว slide และ  ลูกยางกันฝุ่นที่ตัวลูกสูบในcaliper ด้วยก็จะดีที่สุดครับ ถ้านังอ้วนคันไหนยังไม่เคยทำการ Overhaull ลูกสูบระบบเบรคเลย ขอแนะนำว่าสมควรที่จะทำได้แล้วครับ เพราะว่าส่วนมากแล้วจะพบเจออยู่ตลอดว่าผ้าเบรคสึกหรอไม่เท่ากันครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 08:49:29 PM
ช่วงนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับคุณทองดำ คุณทองดี แล้วก็ 2012 เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะเล่าให้ฟังครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: T_T ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 10:02:08 PM
ช่วงนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับคุณทองดำ คุณทองดี แล้วก็ 2012 เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะเล่าให้ฟังครับ


ครายครับพี่คุณทองดี


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 10:12:42 PM
ติดค้างคำถามอยู่หลายวันแล้วครับเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันเบรค คำว่า vapour lock นั้นน้องถามมมาว่ามันคืออะไรอยากรู้ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันจะมีอาการอย่างไร แล้วจะส่งผลอะไรบ้าง ก็จะมาคุยกันในวันนี้เลยครับ

คำว่า vapour นั้นถ้าแปลกันตรง ๆ ตัวเลยก็คือ ไอน้ำครับ แต่ถ้าระบบเบรคนั้นถ้าน้ำมันเบรคกลายเป็นไอได้นั้นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะว่ามันจะต้องมีตัวความร้อนมาทำให้มันกลายเป็นไอ นั่นก็คือสิ่งที่เราคุยกันผ่านมาแล้วในเรื่องอุณหภูมิจุดเดือดของน้ำมันเบรค ถ้า spec ให้ใช้ Dot 4 แต่เรากลับไปใช้ Dot 3 โดยที่ไม่รู้ ก็จะมีผลตามมาดังนี้ครับ อุณหภูมิในระบบเบรคอาจจะสูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดน้ำมันเบรค ทำให้น้ำมันเบรคกลายเป็นไอภายในท่อทองแดงนของระบบเบรค แล้วเวลาที่เกิดการ vapour lock ตัวนี้ขึ้นมาเมื่อใดก็เหมือนท่านเหยียบคันเหยียบเบรคแล้วรู้สึกรถเบรคไม่อยู่หรือไม่อยู่เลย เหยียบแล้วหยุ่น ๆ เหมือนมีลมในระบบ เพราะการ vapour lock ภายในระบบเบรคจะทำให้เกิดฟองอากาศในระบบทำให้ไม่มีเบรคได้สังเกตง่าย ๆ เวลาที่ท่านขับรถทางลงเขาลาดชันมาก ๆ ที่จะต้องใช้เบรคตลอดเวลา ณ เวลานั้นแหละครับ การ vapour lock เกิดขึ้นได้เลย เพราะความร้อนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้มากกว่าปกติ ถ้าท่านเหยียบเบรคแล้วไม่มีเบรคจะรู้สึกตกใจมาก ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยท่านได้ในเวลานั้นก็คือ เกียร์ต่ำ เบรคมือ แล้วก็สติครับ ดังนั้นสาเหตุของอุบัติเหตุบนเขา รถตกเขา ตกเหว เลี้ยวแหกโค้ง จะมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยนี้ก็ได้นั่นก็คือน้ำมันเบรคไงเล่าครับ ที่อาจจะเกิดจากความไม่รู้ของเจ้าของรถเองก็ได้ เพราะมีอะไรก็ช่าง ถ้าได้ช่างดีก็ดีไป แต่ถ้าไปได้เด็กฝึกงานในอู่เจ้าของอู่บอกให้เติมน้ำมันเบรคก็เติมไม่รู้หรอกว่า dot 3 dot 4 มันคืออะไร เห็นอะไรเป็นน้ำมันเบรคก็ใส่ลงไป การผสมลงไปก็เป็นข้อห้ามอยู่แล้ว ยังผิด spec อีก ก็ควรระมัดระวังในการนำรถไปซ่อมแซมเรื่องเบรค ควรให้ผู้ที่มีความชำนาญเท่านั้นทำการซ๋อมแซมระบบเบรคของท่าน ก่อนที่ท่านจะตกอยู่ในนาทีฉุกเฉินครับ

แล้วถ้ามันเกิดการ vapour lock แล้วมันจะชำรุดเสียหายในระบบหรือไม่ ถ้าโชคดี seal 0 ring ที่ตัว caliper ไม่ฉีกขาดรั่วเสียก่อนก็คงไม่เป็นไรครับ รอให้เย็นตัวสักครึ่งชั่วโมงก็สามารถขับไปต่อได้ครับ แต่ส่วนมากแล้วเวลามันเกิดขึ้นแล้วด้วยความตกใจหรือด้อยประสบการณ์ จะทำให้ท่านทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถหยุดรถได้ และจะเกิดอุบัติเหตุได้ในที่สุด ดังนั้นควรระวังครับ

ท่านจะสังเกตบ้างไหมครับการขับรถขึ้นเขานั้นไม่ค่อยมีปัญหากับระบบเบรคมากเท่าไร ส่วนมากจะมีปัญหากับพลังของเครื่องยนต์เสียมากกว่า แต่ว่าตอนลงเขานั้นแหละครับที่จะต้องมีการเตรียมตัว เตรียมตัวอย่างไรหรือครับ ส่วนมากแล้วรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบ HDC มาช่วยในการลงทางลาดชัน และถ้ามีเกียร์ slow ก็ควรที่จะใส่ก่อนที่จะลงเขาที่มีความลาดชันมาก ๆ แต่ถ้าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ไม่มีระบบอะไรมาช่วยเลยก็ควรใช้เกียร์ต่ำช่วยนะครับ อย่าประมาทโดยเฉพาะมือใหม่หัดขับครับ อย่าขับรถแบบเสียวทั้งคันมันคนเดียว เพราะทุกคนที่อยู่ในรถนั้นมันเสียวว๊อย


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 10:18:56 PM
การ vapour lock นั้นไม่ได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะในระบบเบรคเท่านั้นครับ ท่านรู้หรือไม่ครับว่ายังมีอีกระบบหนึ่งในรถยนต์ที่มีการ vapour lock เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่ในระบบนี้จะไม่ทำให้เกิดอันตรายมากนัก แต่จะทำให้รถไม่วิ่ง หรือวิ่งได้ไม่ดีครับ ลองคิดดุก่อนก็ได้ครับเดี๋ยวจะกลับมาตอบให้ครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 10:24:12 PM
ขอตอบท่าน ผอ. ก่อนนะครับ คุณทองดีจะเป็นน้องของคุณทองดำ เนื่องมาจากคุณทองดำนั้นเกิดมาก่อนหนึ่งปีแล้วคุณทองดีถึงจะเกิดครับ งงงงงงงละซิปล่อยให้งงเล่นไปก่อน


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 10:58:51 PM
555 งงไปเลย :P :P


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 09:19:17 AM
ก็มาต่อกันครับเกี่ยวกับการ vapour lock นั้นยังมีอีกระบบหนึ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของรถนั่นเอง ถ้าระบบนี้เกิดความร้อนขึ้นสูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในท่อที่กำลังลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเข้าไปเพื่อป้อนให้กับ carburettor หรือ nozzle ก็คือหัวฉีดเพื่อส่งเชื้อเพลิงเข้าไปในท่อร่วมไอดีและเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ในที่สุด  แต่ถ้ามันเกิดอาการ vapour lock ขึ้นมาก่อนระหว่างทาง จะเป็นจากสาเหตุมาจากความร้อนของท่อไอเสียก็ดี ความร้อนจากห้องเครื่องยนต์เองที่ไม่ระบายออกไป ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นกับรถยนต์รุ่นเก่า ๆ ที่ใช้ carburettor  เสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นระบบหัวฉีดนั้นไม่ค่อยจะมีอาการนี้เกิดขึ้น เพราะในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์รุนใหม่ ๆ นั้นที่รางน้ำมันหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะต้องมี fuel rail temperature sensor คอยรายงานอุณหภูมิของน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งเข้าสมองกลฃองเครื่องยนต์อยู่แล้วถ้าอุณหภูมิเกินกว่าค่าที่ตั้งเอาไว้เครื่องยนต์อาจจะดับไปเอง หรือไฟ engine อาจจะโชว์ขึ้นมาที่หน้าปัทม์เพื่อบอกให้ผู้ขับขี่ทราบว่าขณะนี้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบเครื่องยนต์ดังนั้นถ้าเกิดอาการแบบนี้ก็ควรนำรถยนต์ของท่านเข้าตรวจสอบด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะได้ทราบว่ามีอะไรผิดปกติในระบบเครืองยนต์ จะได้ทำการแก้ไขให้เป็นปกติ

แต่ถ้ามีอาการแบบนี้เกิดในเครื่องยนต์ ก็เหมือนกับมีฟองอากาศอยู่ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง เครื่องยนต์สั่นสะดุด  เดินไม่เรียบ แก้ไขอย่างไรก็ไม่หายเพราะว่าเวลาที่จะเกิดอาการนี้จะเกิดขึ้นในเวลาที่เครื่องยนต์ร้อนทุก่ครั้ง แต่ในเวลาที่เครื่องยนต์ยังไม่ร้อนจะไม่มีอาการนี้ แต่พอเครื่องยนต์ร้อนก็จะเป็นแบบนี้อีก ก็หาปัญหายากอยู่เหมือนกันกว่าจะเจอ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการดัดแปลงหรือกระทำการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำมันเชื้อเพลิงควรที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 09:50:29 AM
ก็มีหลาย ๆ เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าตัว L322 กันไปบ้างพอสมควรแล้ว วันนี้เราไปคุยกันในเรื่องของ Technical Data กันบ้างดีกว่า เพื่อที่ว่าในเวลาที่เราจะ Maintenance เขาจะได้ทำให้ถูกต้อง  น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร น้ำมันเฟืองท้าย น้ำมันเบรค coolant เราจะใช้แบบไหนอย่างไร คงจะต้องศึกษากันให้ละเอียดถ่องแท้ มิเช่นนั้นแล้วท่านอาจจะตกอยู่ในภาวะเสียหายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของรถ Land rover Freelander ท่านหนึ่งรถที่ใช้ก็เจ้า Freelander kv6 นี่แหละครับ ก็ใช้ได้เรื่อยมาก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก จนอยู่มาวันหนึ่งเกียร์เริ่มมีปัญหา ติดเครื่องตอนเช้าถอยหลังไม่ได้ ต้องรอสักประมาณ 3-5 นาทีเกียร์จึงจะทำงาน  ก็นำรถยนต์เข้าซ่อมกับช่างที่คุ้นเคยกันทำ ช่างก็บอกว่าต้องเปลี่ยนเจ้าตัว solinoids เกียร์ ซึ่งรุ่นนีชอบมีปัญหาเป็นประจำอยู่แล้ว ก็สั่งซ่อมหลังจากรับรถมาเสร็จแล้วก็นำออกมาใช้ก็ไม่เกิดปัญหาอะไรเลย  การใช้งานปกติดีทุกอย่าง เกียร์ถอยหลังใส่ปุ๊บก็เข้าปั๊บ แต่อยู่มาวันหนึ่งได้ขับรถทางยาวไปทางใต้ รถก็วิ่งไปปกติด้วยความเร็วประมาณ 130 กม/ชม เกือบจะถึงสุราษฎร์อยู่แล้ว อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากเกียร์แล้วรถก็หยุดวิ่งไปทำอย่างไรก็ไม่วิ่ง ก็ต้องยกรถเข้ามาที่อู่เดิม ทางอู่บอกว่าต้องเปลี่ยนเกียร์เพราะว่าชุดในเกียร์พัง ทางเจ้าของรถก็บอกว่าเพิ่งจะทำออกไปพังได้อย่างไร  Climax point อยู๋ตรงนี้ครับ ช่างก็ทำถูกต้องตามวิธีการในการซ่อมทุกอย่างครับ ไปตกม้าตายตรงน้ำมันเกียร์ครับ น้ำมันเกียร์ออโตเมติกสำหรับรถ Freelander รุ่นนี้นัน จะต้องใช้น้ำมันเกียร์ของ Landrover เท่านั้น ลิตรละเกือบพันบาท แต่ทางอู่ดันเอาน้ำมันเกียร์ออโตเมติกเหมือนกัน แต่เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในเกียร์ออโตเมติกทั่ว ๆ ไปใส่ให้ จึงทำให้เกียร์พังแบบนี้แหละครับ แล้วถ้าท่านเป็นเจ้าของรถ รู้แบบนี้แล้วท่านจะรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องเสียเงินแสนโดยที่ไม่ได้เกิดจากการใช้งานหรือการสึกหรอตามอายุการใช้งานเลย แต่เกิดจากการที่ไม่ได้ใส่ใจของช่างที่ซ่อมมากกว่าทำไปโดยที่ไม่มีความรู้ที่จะทำ  หรืออีกนัยหนึ่งก็ไม่ได้รู้ว่าจะต้องใช้น้ำมันเกียร์ของ land rover  หรือไม่ก็คิดว่ามีราคาแพงใส่ตัวนี้ลงไปก็น้ำมันเกียร์ออโตเมติ กเหมือนกัน นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทางผู้เขียนก็ไม่อยากให้ท่านต้องประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ จึงได้นำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ มาลงไว้ให้ท่านได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจว่าท่านจะต้องใช้น้ำมันอะไรบ้าง จำนวนเท่าไร  เพื่อเป็นแนวทางป้องกันการเกิดเหตุการณ์แบบที่เล่ามาให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลไม่ให้เกิดการผิดพลาด ในการ Maintenance  นี่ขนาดเกียร์ของ Freelander นะครับ แล้วถ้าเป็นเกียร์ของเจ้า L322 นั้นท่านคิดว่าราคาเกียร์จะสักกี่แสนครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 10:16:11 AM
L322 TECHNICAL DATA

เพื่อให้เกิดความเข้าใจสูงสุดทางผู้เขียนเองขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งหมดเพราะว่าบางคำแปลแล้วอาจจะไม่เข้าใจได้นะครับ

Lubricants & Fluids

Engine Oil - Patrol Vehicles
Use a  0W30, 0W40, 5W30 or 5W40 oil meeting specification ACEA; A3 and B3 and having a viscosity band recommened for the temperature range of your locality
Note  Use only fully synthetic oil.

Engine oil temperature ranges

0W30 will protect from -30 C to 35 C
0W40 will protect from -30 C to 50 C
5W30 will protect from -30 C to 35 C
5W40 will protect from -30 C to 50 C
5W50 will protect from -30 C to 50 C
10W40 will protect from -10 C to 50 C

Main Gearbox

Diesel Vehicles  - Filled for life Land rover parts only
Petrol vehicles  - Filled for life  Land rover parts only

Power Steering

Texaco Cold Climate PAS fluid 14315

Brake reservoir

Any brake fluid having a minimum boliling point of 260 C and complying with FMVSS 116 DOT4

Windscreen Washer

Screen washer fluid

Engine Cooling System

Use Castrol Anti-freeze NF or an approved alternative [see Approved Coolants list overleaf] use one part anti-freeze to one part water for protection down to -36 C


Engine Oil - Diesel Vehicles
Use a 5W30, 5W40, 5W50 or 10W40 oil meeting specification ACEA; A3 and B3 and having a viscosity band recommended for the temperature range of your locality.
Note Use only fully synthetic oil.


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 10:57:36 AM
Approved Coolants

BP anti frost X2270A, BP Nappel C2270-1
Caltex CX Engine Coolant
DEA Kuhlerfrostsghutz
Elf Antifreeze Special
Fina Termidor
Glyco Star, GlyccoShell
Glysantin Protect Plus/G48
Guso frost L V505
Mobil Frostschutz 600
Havoline AFC [BD04]
Total multiprotect
eedol Antifreeze NF
OMV Kuhlerfrostschutz

Inertia reel seat belts

DO NOT LUBRICATE. These components are lubricated for life during manufacture.


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 11:03:53 AM
CAPACITIES

The following Capacities are approximate and provided as a guide only, All oil levels must be checked using the dipstick or level plugs as applicable

Fuel Tank                                                100    litre

Engine Oil [from dry]
-Diesel vehicles                                        9.5    litre
-Petrol vehicles                                         9.1   litre

Engine Oil refill and filter change.
-Diesel vehicles                                        8.75  litre
-Petrol vehicles                                        8.5    litre

Washer reservoir                                       5.0   litre

Cooling System [fill from dry];
-Diesel vehicles                                        12.73 litre
-Petrol  vehicles                                       17.31 litre

Cooling System [refill]
-Diesel vehicles                                       11      litre
-Petrol vehicles                                        13     litre


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 07:08:09 PM
Engines

Diesel

Fuel                                            Diesel or Automotive Gas Oil [AGO] to EN590 specification
Capacity                                      2926cm3
Firing Order                                 1-5-3-6-2-4
Bore                                           84.0 mm.
Stroke                                        88.0 mm.
Number of Cylinders                     6
Compression Ratio                       18;1

WARNING
This vehicle is NOT compatible with'Bio-diesel' fuel

V8 Petrol

Fuel                                          UNLEADED 95RON to EN 228 specification
Capacity                                    4398 cm3
Firing Order                               1-5-4-8-6-3-7-2
Idle speed                                 600 - 700 rev/min
Bore                                         92.0 mm
Stroke                                      82.7 mm.
Number of cylinders                    8
Compression ratio                      10;1
Spark plugs                               Bosh FGR7DQP or NGK BKR6EQUP
Spark plugs gap                         Non-adjustable


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 07:18:35 PM
Electrical System

Battery type.
Petrol vehicles                                              Group 95R.sealed for life
Diesel vehicles                                             Group 95R.sealed for life

Battery rating;
Petrol vehicles                                              110amp/hr
Diesel vehicles                                              110amp/hr

Voltage and polarity                                       12v.negative[-] earth
Charging circuit                                              Alternator

Steering

Steering whel turns lock to lock                         3.5
Turning circle                                                  38 ft[11.6 meters]
Camber angle                                                 -0.2
Caster angle                                                  6.69
King pinin clination                                         11.76
Front wheel toe-out included angle                    0


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 07:36:00 PM
Wheel & Tyres

Wheel size and type

Type                                              Size
Alloy wheels                                   7.5j x 18
                                                       8j x 19
                                                      8.5j x 20
Road wheel nut torque                      140 NM [103 lb/ft]

Tyre specification
wheel size                     Tyre
7.5jx18                         255/60R18 112H or V-All terrain tyre
8jx19                            255/55R19 111H or V-All terrain tyre
8.5jx20                         255/50R20 109 V-All terrain sport tyre

Tyre pressure

Front                             34 lb/in
Rear                              36 lb/in


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 07:39:47 PM
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้นเป็น data ของเจ้า L322 แต่จะสังเกตุไหมว่าน้ำมันเฟืองท้ายหน้าหลัง น้ำมันเกียร์พ่วงไม่ได้บอกมา ดังนั้นต้องใช้ของ Land rover parts เท่านั้นครับ และอีกอย่างนึงที่สังเกตุเห็นก็คือน้ำมันเบรคนั้นนเขาจะให้ใช้ยี่ห้ออะไรก้ได้ที่เป็น DOT 4 เท่านั้นครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: phutarn ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 09:56:32 PM
ตามอ่านทุกวันเลยพี่จะเอาข้อมูลมาใช้ให้หมดเลยครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ธันวาคม 02, 2012, 08:47:24 PM
ตอนนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับเจ้าทองดำ เจ้าทองดี แล้วก็เจ้าทองขาว เลยไม่ได้เข้ามาคุยกันเลย รอหน่อยนะครับ ตอนนี้เพื่อน ๆ เต็มบ้านไม่มีที่จะจอดแล้วครับ เดี๋ยวเคลียร์โล่งเมื่อไรแล้วคงได้เข้ามาคุยกันเหมือนเดิม รับรองมีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกมากมายสำหรับเจ้า l322


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: RANGE ที่ ธันวาคม 04, 2012, 01:15:03 AM
ตอนนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับเจ้าทองดำ เจ้าทองดี แล้วก็เจ้าทองขาว เลยไม่ได้เข้ามาคุยกันเลย รอหน่อยนะครับ ตอนนี้เพื่อน ๆ เต็มบ้านไม่มีที่จะจอดแล้วครับ เดี๋ยวเคลียร์โล่งเมื่อไรแล้วคงได้เข้ามาคุยกันเหมือนเดิม รับรองมีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกมากมายสำหรับเจ้า l322




เคลียร์ที่จอดให้สักคันนึงนะครับพี่ เพราะตอนนี้รถของศิษย์น้องผ้าเบรคหลังเหลือแค่ 3 มิลเอง เห็นตอนถอดสลับถ่วงล้อหน้า-หลัง

แล้วก็ปุ่มล๊อกประตูหน้าคนขับไม่ขึ้นลงตามบานอื่น (ดีนะที่สังเกตุเห็นก่อน)ไม่งั้นไปจอดที่อื่นๆมีหวังโดนขโมยของแน่ๆ(รถคงไม่มีใครเอาไป)

เดี๋ยวสักช่วงวันที่ 6-7 จะเข้าไปหาคร้าบ... ;D




หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ธันวาคม 08, 2012, 08:59:22 PM
ก็ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าตัว l322 กันไปบ้างพอสมควรแล้ว วันนี้พอมีเวลาว่างก็ได้มานั่งคุยกันนิดนึงครับ เรายังคงอยู่ภายในห้องโดยสารกันอยู่ครับ และวันนี้คงจะคุยกันถึงเรื่องอะไรดีล่ะครับ อ้อมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้เขียนถึง ก็คือเจ้าตัวกาบบันไดนข้างประตูรถทั้งสี่บานนี่แหละครับ ทำไมต้องไปเขียนถึงเจ้าตัวนี้ด้วยก็ต้องย้อนไปถึงนังอ้วนของเรานิดหนึ่งสำหรับกาบบันไดข้างทั้งสี่อันนั้น พอใช้งานไปสักระยะหนึ่งก็จะเริ่มแตกหักชำรุดเสียหาย ทั้งกาบบันไดข้าง แผ่นปิดใต้คอพวงมาลัย ครอบเรือนไมล์ และก็แถมด้วยเจ้า facia  แผ่นปิดลำโพงด้านหลัง ทั้งซ้ายและขวา ที่กล่าวมานี้จะแตกหักชำรุดเสียหายทุกคันเลยทีเดียว ก็สร้างปัญหาน่าปวดหัวพอสมควรสำหรับกาบบันไดข้างที่เป็นพลาสติกทั้งหมด เพราะว่าของใหม่นั้นไม่มีขาย ไม่ว่าจะในประเทศไทย หรือในประเทศอังกฤษเองก็ไม่มี นี่แหละที่ว่าเป็นปัญหาใหญ่ก็เพราะว่ามีเงินแต่ไม่สามารถหาซื้ออะหลั่ยได้ มือสองก็ยังไม่มีอีก ปวดหัวเข้าไปใหญ่นั่นก็เป็นเรื่องปวดหัวสำหรับนังอ้วน แต่สำหรับเจ้า l322 นั้นก็ต้องยกความดีให้กับทีมวิศวกรผู้ออกแบบว่าในรุ่นนี้ได้ปรับปรุงและพัฒนามามาก ไม่ว่าจะเป็นกาบบันไดข้างทั้งสี่บานนั้นก็ทำมาเป็นอลูมิเนียมแล้ว ทำให้อายุการใช้งานนั้นคงทนไม่แตกหักเลยก็ว่าได้ ส่วนแผงใต้คอพวงมาลัย กับ facia นั้นก็ถูกออกแบบมาใหม่ไม่อ้าหรือแตกหักแบบนังอ้วน วัสดุทีใช้นั้นผ่านมาถึงวันนี้ก็น่าจะได้หลายปีแล้ว สภาพก็ยังคงเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ก็ดีขึ้นกว่านังอ้วนมากสำหรับการออกแบบภายในในรุ่นนี้ ส่วนที่มีปัญหามาก ๆ ก็คือสีที่ใช้พ่นเคลือบพลาสติกภายในหลาย ๆ ชิ้นนั้น โดยส่วนมากแล้วก็จะลอกเป็นส่วนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง recondition ทั้งหมดก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ธันวาคม 08, 2012, 09:05:28 PM
ยังคงอยู่ในห้องโดยสารกันนะครับ มองขึ้นไปดูที่ sunvisor กันนะครับ สำหรับบังแดดรุ่นนี้จะเป็นสองชั้น ทั้งด้านคนนั่งและด้านคนขับ และก็จะมีกระจกส่องหน้าได้ทั้งสองนข้างเหมือนกันที่สำคัญมีไฟส่องเวลากลางคืนด้วยครับ แล้วทำไมต้องมีสองชั้นด้วยครับ ที่มีถึงสองชั้นก็คงจะทำมาให้บังแดดได้ทั้งสองด้าน ด้านหน้ากับด้านข้างในเวลาเดียวกัน และที่พิเศษกว่านั้นก็คือเมื่อลืมเปิดไฟส่องสว่างที่บังแดดทิ้งไว้เกินกว่า 16 นาทีระบบจะปิดไฟเองโดยอัตโนมัติครับ เพื่อป้องกันแบตเตอรี่หมดหม้อครับ ต่างกับนังอ้วนนั้นจะมีชิ้นเดียวและก็จะมีเพียงด้านคนนั่งด้านซ้ายเท่านั้นที่มีกระจกส่องและมีไฟส่องสว่าง ทางด้านคนขับนั้นจะไม่มีครับ มองกันต่อไปที่กระจกมองหลังตัวกลางในห้องโดยสารนั้นก็จะได้รับการพัฒนามาเหมือนกัน โดยปกติแล้วจะมีสองรุ่นคือ รุ่นตัดแสงอัตโนมัติ กับรุ่นธรรมดา สำหรับรุ่นอัตโนมัตินั้นก็จะแตกต่างจากของนังอ้วน ของนังอ้วนนั้นจะมีตัวปรับความเข้มนของแสงได้ ส่วนของ l322 นั้นไม่มีมาให้ครับ ส่วนรุ่นธรรมดานั้นเวลาจะให้ตัดแสงมากหรือน้อยให้หมุนไปที่ปุ่มไฟสำกระพริบสีแดงด้านล่างซึ่งเป็นของระบบกันขโมยครับ เวลากลับบ้านดึก ๆ พอเดินผ่านรถก็จะเห็นไฟสีแดงของระบบกันขโมยนั้นกระพริบอยู่ใต้กระจกมองหลังชัดเจนครับ และเจ้าตัวต่อมาก็อยู่ใกล้ ๆ กับกระจกมองหลังนั้นแหละครับ กดลงไปเพียงเบา ๆ ก็จะมีกล่องสำหรับเก็บแว่นตาเปิดออกมา กล่องนี้มีไว้เพื่อสำหรับเก็บแว่นกันแดดครับ  สำหรับรุ่นที่มี sunroof นั้น ก็จะมี สวิสช์เปิด ปิด sunroof อยู่ในตำแหน่งนี้เช่นกัน ฟังก์ชั่นก็จะคล้าย ๆ กับของนังอ้วน มี anti trap แล้วถ้าเวลา sunroof เกิดเสียขึ้นมาระบบไฟฟ้าไม่ทำงานก็จะหมุนเปิดปิดได้โดยใช้ระบบ manual สำหรับนังอ้วนนั้นจะเป็นตัว T ครับส่วนของ l322 นั้นจะเป็น allen key ซึ่งจะหาได้จากกล่องเก็บเครื่องมือท้ายรถครับ ต่อไปที่กระจกบังลมหน้ากันเลยครับ ก็ไม่พลาดสำหรับ l322 นั้นมีการติดตั้ง heater ที่กระจกบังลมหน้าและหลังมาเหมือนนังอ้วนเช่นกัน สำหรับปุ่มเปิดปิดนั้นก็จะอยู่ใกล้ ๆ กับสวิสช์แอร์เหมือนเดิม


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ธันวาคม 29, 2012, 07:15:04 PM
หลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวันวันนี้ก็พอจะมีเวลาบ้างแล้วล่ะครับก็เลยได้เข้ามาแวะเวียนคุยกันต่อครับ ต้องขออภัยสำหรับผู้ที่ติดตามอ่านอยู่สำหรับบ้านเร้นจ์นั้นตอนสิ้นปีจะเป็นแบบนี้ทุกปี  ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้วก็พอมีเวลาที่จะมานั่งคุยกันต่อกับเจ้า l322 ไม่ได้เข้ามนั่งเขียนนานเหมือนกันครับ เห็นตัวเลขที่ท่านเข้ามาอ่านแล้วก็ดีใจไม่น้อยที่ความรู้ของเรามีผู้นำออกไปใชั้ได้ ทำให้เรามีกำลังใจเขียนต่อไปอีก ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ท่านยังไม่รู้สำหรับเจ้า l322 ตัวนี้  10 หน้าที่ผ่านมาเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นยังไม่ได้เข้าสู่ระบบหลัก ๆ ของตัวรถเลย ตัวผู้เขียนเองบางครั้งพอมีเวลาว่างก็จะเข้าไปอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายเหมือนกัน อยากรู้ครับว่าเวลานั่งอ่านแล้วจะได้อะไรมั่ง แล้วจะมีอะไรน่าติดตามอีกหรือเปล่า  วันนี้ก็เป็นวันสบาย ๆ เพื่อน ๆ สมาชิกได้


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ ธันวาคม 29, 2012, 08:23:17 PM
 ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ มกราคม 08, 2013, 06:59:48 PM
ตอนนี้บ้านเร้นจ์ก็ยังเต็มอยู่ ต่อไปนี้เราจเข้ามาคุยกันเหมือนเดิม ค่อย ๆ คุยกันไปนะครับ มัวแต่ไปยุ่งวุ่นวายอยู่กับเจ้าทองดีเสียตั้ง สองเดือน ตอนนี้ได้มาครอบครองเรียบร้อยแล้ว อย่าต่อว่ากันเลยนะครับ ถ้าน้อง ๆ ได้เห็นเจ้าทองดีแล้วทุกคนคงจะบอกเป็นเสียงเดียวกัน่ว่า สมควรแล้วที่พี่ปัญจะต้องเอามาไว้ครอบครองให้ได้  เดี๋ยวคงจะได้ดูรูปกันนะครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: คนรักษ์เร้นจ์ ที่ มีนาคม 15, 2013, 08:42:31 PM
หายหน้าหายตาไปนานหลายเดือนต่อไปนี้เราคงได้มานั่งคุยกันต่อนะครับ ต้องขออภัยเพื่อนสมาชิกที่รอนานครับ


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: Webmaster ที่ เมษายน 02, 2014, 10:00:14 PM
update


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: Webmaster ที่ เมษายน 02, 2014, 10:01:39 PM
wow ;D


หัวข้อ: Re: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases
เริ่มหัวข้อโดย: Thai ที่ เมษายน 05, 2014, 04:57:18 PM
สงสัยท่านอาจารย์ บำเพ็ญตะบะนานจนถ่ายทอดพลังให้ลูกศิษย์อย่างผมผู้ไร้วรยุทธ รับแทบไม่ทันจะพยามฝึกฝน

ขอ คารวะ