Rangeroverhouses.com Forum
มกราคม 11, 2025, 10:50:16 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: SMF - Just Installed!
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Range rover L322(2002-2005) top ten serious cases  (อ่าน 102545 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #105 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 11:43:24 AM »

คุยกันมาตั้งนานแล้วไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย มีอีกครับ ด้วยเจ้าเบรคมือสำหรับรุ่นนี้นั้นจะมีระบบไฟฟ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยครับ ถ้าหากว่าเราดึงเบรคมือเอาไว้แล้วเกิดลืมแล้วออกรถไปเลย ท่านจะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนและที่หน้าจอสั่งให้ท่านปลดเบรคมือออกก่อน Hand Brake Release  ก็ดีกว่านังอ้วนขึ้นมาหน่อยก็ตรงนี้แหละครับ ของนังอ้วนนั้นมีเพียงสัญญาณไฟรูปเบรคมือโชว์ที่หน้าปัมทฺ์เท่านั้นครับ
บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
phutarn
Webmaster Angel eye
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 2226


Angel eye


« ตอบ #106 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 08:35:21 PM »

 ตกใจ ตกใจ
บันทึกการเข้า

ภูเขา ธารน้ำ
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #107 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 09:38:29 PM »

ที่จริงแล้วพี่ควรจะเขียนข้อความนี้ก่อนที่จะเ่เข้าไปในเนื้อเรื่องแต่ในเมื่ออ่านจบไปแล้วก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปเภอะครับ ทาง land rover เองนั้นก็งงงงกับ hand brake ของเจ้า l322 อยู่เหมือนกันเพราะมันเป็นครั้งแรกของ Land rover เลยก็ว่าได้ที่ได้เปลี่ยนเบรคมือที่เบรคที่เพลากลาง มาเป็นเบรคที่ล้อ ในประวัติศาสตร์ของ Land rover เองก็คงจะต้องจารึกไว้เป็นตำนานเหมือนกัน เพราะทุกรุ่นที่ผ่านมานั้นเบรคมือจะอยู่ที่ท้ายเกียร์พ่วงทั้งหมด ดังนั้นทางผู้ออกแบบมานั้นคงคิดในใจอยู่แล้วว่าจะให้เจ้า l322 นั้นเป็นราชันย์แห่ง offroad ต่อไปหรือเปล่า  หรือจะให้อยู่บน on road เพียงอย่างเดียว ทำไมถึงทำกับเจ้าl322 ได้ ดูซิ ถ้าเทียบกับปลาก็เป็นปลาไม่มีกระดูก แถมเบรคมือประสิทธิภาพยังลดลงอีก เพลาล้อก็ไม่มี ดู ๆ ไปจะเหมือนเต่าไม่มีกระดองนะนี่ก็ว่ากันไปครับ แล้วจะมีอะไรที่เป็นแบบนี้อีกหรือไม่ ก็ค่อย ๆ ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งเบื่อ นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง ยังไม่ไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยครับ
บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
phutarn
Webmaster Angel eye
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 2226


Angel eye


« ตอบ #108 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2012, 10:39:19 PM »

พักโฆษณา สำหรับพี่ปัญจะเลยพี่ๆๆๆๆ ตกใจ ตกใจ


* Render1.jpg (133.3 KB, 600x450 - ดู 1341 ครั้ง.)

* Render2.jpg (47.86 KB, 600x450 - ดู 1130 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ภูเขา ธารน้ำ
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #109 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2012, 08:23:56 AM »

อุแม่เจ้าสวยมากเลย ภายในสีครีมด้วย ถูกใจมาก ๆ เลยครับ ถ้างั้นคันใหม่ของคุณภูธารพี่ขอเอามาทำสีแดงก่อนได้ไม๊อะ นะนะๆๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้ต้องขอเบรคกระทู้นี้ไว้ก่อน เพราะน้อง ๆ ถามมาว่าแล้วเจ้า Range sport ที่เปิดกระทู้ไว้ไม่เห็นเข้าไปเขียนเลย  เอาเลยงานเข้าครับ จัดให้เลยครับ
บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
RANGE
Newbie
*
กระทู้: 11


« ตอบ #110 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 01:04:00 AM »

ที่จริงแล้วพี่ควรจะเขียนข้อความนี้ก่อนที่จะเ่เข้าไปในเนื้อเรื่องแต่ในเมื่ออ่านจบไปแล้วก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปเภอะครับ ทาง land rover เองนั้นก็งงงงกับ hand brake ของเจ้า l322 อยู่เหมือนกันเพราะมันเป็นครั้งแรกของ Land rover เลยก็ว่าได้ที่ได้เปลี่ยนเบรคมือที่เบรคที่เพลากลาง มาเป็นเบรคที่ล้อ ในประวัติศาสตร์ของ Land rover เองก็คงจะต้องจารึกไว้เป็นตำนานเหมือนกัน เพราะทุกรุ่นที่ผ่านมานั้นเบรคมือจะอยู่ที่ท้ายเกียร์พ่วงทั้งหมด ดังนั้นทางผู้ออกแบบมานั้นคงคิดในใจอยู่แล้วว่าจะให้เจ้า l322 นั้นเป็นราชันย์แห่ง offroad ต่อไปหรือเปล่า  หรือจะให้อยู่บน on road เพียงอย่างเดียว ทำไมถึงทำกับเจ้าl322 ได้ ดูซิ ถ้าเทียบกับปลาก็เป็นปลาไม่มีกระดูก แถมเบรคมือประสิทธิภาพยังลดลงอีก เพลาล้อก็ไม่มี ดู ๆ ไปจะเหมือนเต่าไม่มีกระดองนะนี่ก็ว่ากันไปครับ แล้วจะมีอะไรที่เป็นแบบนี้อีกหรือไม่ ก็ค่อย ๆ ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งเบื่อ นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง ยังไม่ไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยครับ


อ่านเรื่องเบรคของท่านพี่  ทำให้ผมนึกได้ว่าหมดหน้าฝนแล้วถีงเวลาต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคนังอ้วนระจำปีนี้ กะว่าจะเปลี่ยนถ่ายเองที่ปั้มแถวบ้าน

ศิษย์พี่ช่วยแนะนำหรือมีเทคนิคข้อควรทำ-ระวังอย่างไรบ้างคร้าบ  ผมคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว (จำไม่ได้ว่าให้ไล่ลมล้อไกลสุดหรือใกล้แม่ปั้มสุดก่อน)

ช่วยเรียกความจำกลับคืนให้ผมหน่อยคร้าบ.... ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #111 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 08:40:33 AM »

ตอบให้เลยนะครับศิษย์น้องครับ ก็ย้อนกลับไปนิดนึงครับ สำหรับนังอ้วนนั้นจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทุกชนิดและ filter ทุกตัวที่ทุก ๆ 40000 กิโลเมตรครับ ถ้านับตามกิโลเมตร ครั้งแรกก็ที่ 40000 80000 120000 160000 200000  พี่ว่าถึงปัจจุบันรถกิโลน่าจะอยู่ประมาณนี้แหละครับ ถ้าเฉลี่ยแล้วใช้ปีละประมาณหมื่นกว่าโล ควรจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดไปเลยทีเดียวดีกว่าครับ แต่ถ้าหากทำไปแล้วก็ข้ามไปครับ  มาว่ากันเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคครับ

อันดับแรกก็ต้องดูน้ำมันเบรคก่อนครับว่าใช้ของตัวไหนอยู่ แต่ตาม spec แล้วต้องใช้ Dot 4 เท่านั้นครับ แล้วก็ห้ามผสมกันโดยเด็ดขาดใช้ของยี่ห้อใดก็ยี่ห้อหนึ่งไปเลยครับนี่คือข้อจำกัดไม่ใช่แต่ Range rover เท่านั้นครับ รถทุกค่ายทุกคันเหมือนกันหมด ดังนั้นต้องระวังครับ พอน้ำมันเบรคพร่องลงไปเนื่องมาจากผ้าเบรคสึกก็เติมน้ำมันเบรคลงไป ก่อนเติมควรปรึกษากับช่างที่ซ่อมรถท่านอยู่ว่าใช้น้ำมันเบรคยี่ห้ออะไรอยู่ ควรจะหามาเติมให้ถูกต้องให้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่รู้ว่าใช้ยี่ห้อใดอยู่ก็ไปซื้อยี่ห้อใหม่มาแล้วถ่ายของเก่าทิ้งออกไปให้หมดจะดีที่สุดครับ แล้วก็ใช้โดยประมาณก็ 1.5 - 2 ลิตรครับ

ส่วนมากแล้วของนังอ้วนนั้นจะเป็นมิตรกับ Ate dot 4 (เอเต้) จะเป็นฝาสีเหลืองหรือสีน้ำเงินใช้ได้หมดครับ แต่ใน spec จริง ๆ แล้วให้ใช้ของ Lucas dot 4 ครับ แต่เนื่องจากในต่างจังหวัดนั้นหาซื้อได้ยากมาก ทางพี่เองก็เลยเปลี่ยนมาใช้ของยี่ห้อนี้มา เกือบสิบปีแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ และก็อีกอย่างนึงก็เป็นน้ำมันเบรคที่รถ benz ใช้กันอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร เพราะในเรื่องคุณภาพแล้ว ก็อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนเวลาที่จะต้องหาซื้อก็หาซื้อได้ตามร้านขายอะหลั่ยได้ทุกร้านเลยครับ ก็ลองดูกันครับอาจจะมีตัวอื่นที่ดีกว่าตัวนี้ก็ได้ครับ แต่สำหรับนังอ้วนไม่เคยมีปัญหากับ seal solinoids ภายในระบบเบรคครับ

เมื่อถ่ายน้ำมันเบรคเก่าออกแล้วก็เติมน้ำมันเบรคใหม่เข้าไปให้เต็มกระปุกเติม แล้วก็ทำการไล่ลมที่สกรูไล่ลมตัวแรกที่ด้านข้าง ของ abs booster (ตัวล่างสุด) ก่อนครับ จนฟองอากาศหมด แล้วก็ไปไล่ลมที่ล้อหน้าขวาเป็นอันดับแรก   แล้วก็ไปที่ล้อหน้าซ้าย เป็นอันดับต่อไป ทั้งหมดนี้ใช้วิธีไล่ลมเหมือนทั่ว ๆ ไป คือย้ำ ๆๆๆๆๆๆ  แล้วเหยียบ แล้วก็คลายสกรูไล่ลม ทำแบบนี้หลาย ๆ ครั้งจนแน่ใจว่าน้ำมันเบรคเก่าหมดแล้ว สังเกตุง่าย ๆ น้ำมันเบรคเก่าสีจะออกสีชาส่วนน้ำมันเบรคใหม่จะสีใส และไม่มีฟองอากาศในระบบแล้วก็ใช้ได้แล้วครับ แล้วก็กลับไปที่ abs booster อีกครั้งครับจะมีสกรูไล่ลมคู่กันอยู่ที่ด้านบนอีกสองตัว ไล่ลมที่ตัวสี้นก่อนแล้วก็ไล่ที่ตัวยาววิธีการก็เปิดสวิสช์กุญแจ on เหยียบคันเหยียบเบรคค้างไว้ครัจนกว่าฟองจะหมดครับ แต่ถ้าฟองยังไม่หมดให้ทำซ้ำอีกครับ

ส่วนที่ล้อด้านหลังนั้นก็เริ่มที่ล้อด้านหลังขวากันก่อน โดยใช้วิธี เปิดสวิสช์กุญแจ on แล้วเหยียบคันเยียบเบรค แล้วก็คลายสกรูไล่ลม  ทำหลาย ๆ ครั้งจนกว่าน้ำมันเบรคเก่าจะออกมาหมดและอากาศในระบบจะหมดไปครับ ส่วนล้อหลังด้านซ้ายก็ทำแบบนี้เหมือนกันครับ  ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคกับไล่ลมเบรคครับ  ข้อควรระวังนะครับ ระหว่างที่ทำการไล่ลม อย่าลืมดุระดับน้ำมันเบรคในกระปุกเติมด้วยนะครับ ถ้าเกิดน้ำมันเบรคเกิดขาดหรือหมดไป ก็ต้องเติมให้เต็มแล้วก็เริ่มไล่ลมใหม่อีกครั้งนึงครับ

ส่วนเทคนิคที่จะแนะนำนั้นก็ในเรื่องของน้ำมันเบรคเอง เจ้าตัวนี้มีฤทธิ์กัดสีได้ทุกอย่างดังนั้นควรระวัง ในเรื่องของน้ำมันเบรคที่ถ่ายทิ้งออกมาแล้วกัดสีล้อแม็กครับ ทางที่ดีควรหาท่อต่อออกมาจาก bleeding screwต่อลงขวดเลยจะดีกว่า แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนทำการไล่ลมควรฉีดน้ำไปที่ล้อแม็กก่อนทำการไล่ลม และควรรีบล้างหลังจากทำการไล่ลมเสร็จแล้วห้ามลืมนะครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2012, 11:48:29 AM โดย คนรักษ์เร้นจ์ » บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #112 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 06:44:12 PM »

มีน้อง ๆ ถามมาว่าน้ำมันเบรคระหว่าง DOT 3 กับ   DOT 4 นั้นทำไมถึงใช้แทนกันไม่ได้ ในเมื่อเป็นน้ำมันเบรคเหมือนกัน แล้วน้ำมันหมูกับน้ำมันพืชล่ะใช้แทนได้หรือไม่ ก็มาแปลก ๆ อยู่ แต่เมื่ออุตส่าห์ถามมาก็จะพยายามตอบจากประสบการณ์เลยก็แล้วกันนะน้องนะ

น้ำมันเบรคที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้นั้นก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ถ้าน้อง ๆ ที่ได้ติดตามรถ FORMULA l ที่มีแข่งขันกันในแต่ละปีนั้น แต่ละค่ายก็ผลัดกันชนะผลัดกันแพ้ไป แต่การแข่งขันรถ FORMULA l นั้นเขาไม่ได้ต้องการแค่แพ้หรือชนะกันในสนามแข่งขันเท่านั้นครับ มีเหตุผลอีกมากมายที่เขาต้องการที่จะพัฒนารถยนต์ให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น ความคงทนแข็งแรงเพิ่มขึ้น ทดสอบยาง ทดสอบเครื่องยนต์ ทดสอบระบบเบรค ทดสอบระบบเกียรื ช่วงล่าง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคันรถเลยก็ว่าได้ แล้วนำสิ่งที่ได้ใส่ไปในรถ FORMULA l นำออกมาใส่กับรถที่ใช้งานกันจริง ๆ บนท้องถนนในรุ่นที่ผลิตในอนาคตอันใกล้

น้ำมันเบรคก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการแข่งขันรถุ FORMULA l นี่แหละครับ มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ ในยุคแรก ๆ นั้นอาจจะไม่ได้รับการพัฒนาอะไรมากนัก เพราะว่ารถยังมีความเร็วไม่มากในยุคแรก ๆ แต่หลังจากนั้นต่อ ๆ มารถมีการพัฒนาความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันนั้นยกตัวอย่าง เอาง่าย ๆ Range rover sport เครื่องยนต์ 5000 cc ทราบไม๊ละครับว่าให้ม้าออกมากี่ตัว ตอบเลยครับ 510 ตัวครับอ้วน ๆ ด้วยย แล้วถ้าระบบเบรคไม่ถูกพัฒนาตามกันไป ถามว่าจะเอาอะไรมาเบรคครับ 0-100 m ทำได้ 7.6 วินาทีเอง นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องพัฒนาระบบเบรคตามกันไปด้วย บางท่านอาจจะคุ้นหูกับ Brembo 2 port 4 port 6 port หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะโฆษณาออกมาว่าเอาอยู่ มั่นใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ก็จริงตามโฆษณาครับ แต่สนนราคาค่อนข้างสูงมาก ตัวนี้ก็มาจากรถ FORMULA l เหมือนกันครับ

ก็มาเข้าเรื่องน้ำมันเบรคของเรากันครับ คำว่า DOT 3 นั้นจะเป็นค่าของ us safety standard กำหนดให้น้ำมันเบรคนั้นมีค่า Wet boiling point อยู่ที่ 150 องศาเซลเซียส หรือ(302 องศษฟาเรนไฮ)
ส่วนเจ้า DOT 4  นั้นก็จะมีค่า Wet boiling point อยู่ที่ 170 องศาเซลเซียส หรือ (338 องศาฟาเรนไฮ)  แต่เจ้า DOT 4 นั้นจะมีอีกตัวหนึ่งเพิ่มเข้ามาก็คือ Boiling point ที่ 265 องศาเซลเซียส หรือ (509 องศาฟาเรนไฮ)

เห็นไหมละครับว่าขนาดน้ำมันเบรคยังต้องถูกผลิตออกมาให้ทนรับความร้อนสูง ๆ ได้เลย ถ้า spec ให้ใช้ Dot 4 แล้วน้องเกิดไปใช้ Dot 3 ก็มีคำตอบให้แล้วครับ น้ำมันเบรคจะทนความร้อนไม่ไหวและเกิดการระเหยในที่สุด และก็จะถึงจุดเดือด และก็จะเกิดการ Vapour lock ในระบบน้ำมันเบรคครับ ท่านทราบไหมล่ะครับเวลาที่ท่านเบรครถในแต่ละครั้งนั้นระบบเบรคได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นเท่าไร น้ำมันเบรคร้อนเท่าใดในเวลานั้นยิ่งรถติดนาน ๆ ค่อย ๆ ไหลนั่นแหละครับความร้อนจะสูง จนเมื่อรถได้วิ่งความเร็วความร้อนก็จะถูกระบายออกไปโดยลม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2012, 06:57:00 PM โดย คนรักษ์เร้นจ์ » บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #113 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2012, 07:10:45 PM »

ดังนั้นควรศึกษาเกี่ยวกับตัวรถที่ท่านใช้ก่อนจะดีที่สุด และก่อนการที่จะตัดสินใจทำอะไรเกี่ยวกับตัวรถโดยที่ยังไม่มีข้อมูล ควรปรึกษาผู้รู้หรือนายช่างประจำรถก่อนที่จะเสียหายโดยที่ไม่รู้ครับ แล้วในเมืองหนาวน้ำมันเบรคจะทนความหนาวได้เท่าไร แล้วมันจะแข็งคาท่อไม๊  แล้วถ้าเป็นน้ำมันเครื่องมันจะแข็งคาอ่างหรือเปล่า น้ำในหม้อน้ำจะแข็งหรือไม่ แล้วน้ำมันหมูกับน้ำมันพืชจะใช้แทนน้ำมันเบรคได้หรือไม่ เดี๋ยวกลับมาตอบครับ
บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
RANGE
Newbie
*
กระทู้: 11


« ตอบ #114 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2012, 12:04:32 AM »

ตอบให้เลยนะครับศิษย์น้องครับ ก็ย้อนกลับไปนิดนึงครับ สำหรับนังอ้วนนั้นจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทุกชนิดและ filter ทุกตัวที่ทุก ๆ 40000 กิโลเมตรครับ ถ้านับตามกิโลเมตร ครั้งแรกก็ที่ 40000 80000 120000 160000 200000  พี่ว่าถึงปัจจุบันรถกิโลน่าจะอยู่ประมาณนี้แหละครับ ถ้าเฉลี่ยแล้วใช้ปีละประมาณหมื่นกว่าโล ควรจะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดไปเลยทีเดียวดีกว่าครับ แต่ถ้าหากทำไปแล้วก็ข้ามไปครับ  มาว่ากันเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคครับ

อันดับแรกก็ต้องดูน้ำมันเบรคก่อนครับว่าใช้ของตัวไหนอยู่ แต่ตาม spec แล้วต้องใช้ Dot 4 เท่านั้นครับ แล้วก็ห้ามผสมกันโดยเด็ดขาดใช้ของยี่ห้อใดก็ยี่ห้อหนึ่งไปเลยครับนี่คือข้อจำกัดไม่ใช่แต่ Range rover เท่านั้นครับ รถทุกค่ายทุกคันเหมือนกันหมด ดังนั้นต้องระวังครับ พอน้ำมันเบรคพร่องลงไปเนื่องมาจากผ้าเบรคสึกก็เติมน้ำมันเบรคลงไป ก่อนเติมควรปรึกษากับช่างที่ซ่อมรถท่านอยู่ว่าใช้น้ำมันเบรคยี่ห้ออะไรอยู่ ควรจะหามาเติมให้ถูกต้องให้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่รู้ว่าใช้ยี่ห้อใดอยู่ก็ไปซื้อยี่ห้อใหม่มาแล้วถ่ายของเก่าทิ้งออกไปให้หมดจะดีที่สุดครับ แล้วก็ใช้โดยประมาณก็ 1.5 - 2 ลิตรครับ

ส่วนมากแล้วของนังอ้วนนั้นจะเป็นมิตรกับ Ate dot 4 (เอเต้) จะเป็นฝาสีเหลืองหรือสีน้ำเงินใช้ได้หมดครับ แต่ใน spec จริง ๆ แล้วให้ใช้ของ Lucas dot 4 ครับ แต่เนื่องจากในต่างจังหวัดนั้นหาซื้อได้ยากมาก ทางพี่เองก็เลยเปลี่ยนมาใช้ของยี่ห้อนี้มา เกือบสิบปีแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ และก็อีกอย่างนึงก็เป็นน้ำมันเบรคที่รถ benz ใช้กันอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร เพราะในเรื่องคุณภาพแล้ว ก็อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนเวลาที่จะต้องหาซื้อก็หาซื้อได้ตามร้านขายอะหลั่ยได้ทุกร้านเลยครับ ก็ลองดูกันครับอาจจะมีตัวอื่นที่ดีกว่าตัวนี้ก็ได้ครับ แต่สำหรับนังอ้วนไม่เคยมีปัญหากับ seal solinoids ภายในระบบเบรคครับ

เมื่อถ่ายน้ำมันเบรคเก่าออกแล้วก็เติมน้ำมันเบรคใหม่เข้าไปให้เต็มกระปุกเติม แล้วก็ทำการไล่ลมที่สกรูไล่ลมตัวแรกที่ด้านข้าง ของ abs booster (ตัวล่างสุด) ก่อนครับ จนฟองอากาศหมด แล้วก็ไปไล่ลมที่ล้อหน้าขวาเป็นอันดับแรก   แล้วก็ไปที่ล้อหน้าซ้าย เป็นอันดับต่อไป ทั้งหมดนี้ใช้วิธีไล่ลมเหมือนทั่ว ๆ ไป คือย้ำ ๆๆๆๆๆๆ  แล้วเหยียบ แล้วก็คลายสกรูไล่ลม ทำแบบนี้หลาย ๆ ครั้งจนแน่ใจว่าน้ำมันเบรคเก่าหมดแล้ว สังเกตุง่าย ๆ น้ำมันเบรคเก่าสีจะออกสีชาส่วนน้ำมันเบรคใหม่จะสีใส และไม่มีฟองอากาศในระบบแล้วก็ใช้ได้แล้วครับ แล้วก็กลับไปที่ abs booster อีกครั้งครับจะมีสกรูไล่ลมคู่กันอยู่ที่ด้านบนอีกสองตัว ไล่ลมที่ตัวสี้นก่อนแล้วก็ไล่ที่ตัวยาววิธีการก็เปิดสวิสช์กุญแจ on เหยียบคันเหยียบเบรคค้างไว้ครัจนกว่าฟองจะหมดครับ แต่ถ้าฟองยังไม่หมดให้ทำซ้ำอีกครับ

ส่วนที่ล้อด้านหลังนั้นก็เริ่มที่ล้อด้านหลังขวากันก่อน โดยใช้วิธี เปิดสวิสช์กุญแจ on แล้วเหยียบคันเยียบเบรค แล้วก็คลายสกรูไล่ลม  ทำหลาย ๆ ครั้งจนกว่าน้ำมันเบรคเก่าจะออกมาหมดและอากาศในระบบจะหมดไปครับ ส่วนล้อหลังด้านซ้ายก็ทำแบบนี้เหมือนกันครับ  ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคกับไล่ลมเบรคครับ  ข้อควรระวังนะครับ ระหว่างที่ทำการไล่ลม อย่าลืมดุระดับน้ำมันเบรคในกระปุกเติมด้วยนะครับ ถ้าเกิดน้ำมันเบรคเกิดขาดหรือหมดไป ก็ต้องเติมให้เต็มแล้วก็เริ่มไล่ลมใหม่อีกครั้งนึงครับ

ส่วนเทคนิคที่จะแนะนำนั้นก็ในเรื่องของน้ำมันเบรคเอง เจ้าตัวนี้มีฤทธิ์กัดสีได้ทุกอย่างดังนั้นควรระวัง ในเรื่องของน้ำมันเบรคที่ถ่ายทิ้งออกมาแล้วกัดสีล้อแม็กครับ ทางที่ดีควรหาท่อต่อออกมาจาก bleeding screwต่อลงขวดเลยจะดีกว่า แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนทำการไล่ลมควรฉีดน้ำไปที่ล้อแม็กก่อนทำการไล่ลม และควรรีบล้างหลังจากทำการไล่ลมเสร็จแล้วห้ามลืมนะครับ




ขอบคุณครับท่านพี่  วันนี้ไปเปลี่ยนที่คาร์แคร์แถวบ้านมาแล้วใช้เอเต้ dot4 หมดไปลิตรกว่าๆ  แต่ช่างใช้วิธีเปลี่ยนเเละไล่ลมเหมือนรถทั่วไป

โดยใช้สายยางดูดน้ำมันเบครเก่าออกจากกระปุกแล้วเติมของใหม่จนเกือบเต็ม จากนั้นก็ติดเครื่องแล้วก็ไปไล่น้ำมันเก่าที่ปั้มล้อหลังซ้ายก่อน

ตามด้วยล้องหลังขาวและก็ล้อคู่หน้า   ล้อหลังไล่น้ำมันเก่าออกได้ดีปกติ แต่ล้อคู้หน้าย้ำ+เหยียบเบรคไล่น้ำมันออกได้น้อย(ไม่แรงเหมือนข้างหลัง)

สงสัยจะทำไม่ถูกไม่ครบขั้นตอนหรือเปล่า   เดี๋ยววันไหนผมขับไปหาศิษย์พี่ดีกว่าจะได้จัดการให้เรียบร้อย ตอนนี้ก็เบรคได้ปกติดีไม่มีปัญหา

อ้อ!อีกอย่างท่านพี่มีกันชนหลังของนังอ้วน (กันชนพลาสติกสีดำทั้งชิ้นมือ2) เหลือบ้างมั้ยครับ  ดวงไม่ดีจอดอยู่ริมฟุตตบาทยังโดนแมงกะไซค์

มาชนท้ายทำให้กันชนมุมขวาแตกชิ้นส่วนตรงที่ยึดกับแผ่นยางกันโคลนที่ล้อแตกหัก-หายไป  ดูให้หน่อยคร้าบอยากหล่อเหมือนเดิมเร็วๆ... ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #115 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 09:02:28 AM »

ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรมีแต่คนโดนชนข้างหลังมา ที่บ้านเร้นจ์นั้นตอนนี้ไม่มีของเลยครับ แต่ของใหม่ก็เกือบสองหมื่นเหมือนกันนะ ลองหาดูครับเดี๋ยวพี่จะช่วยหาจากหลาย ๆ ที่ให้ครับว่าจะมีหรือไม่
บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #116 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 08:27:48 PM »

ไหน ๆ ก็เขียนถึงเรื่องเบรคอยู่ก็ขอวกไปที่ระบบเบรคนิดนึงครับ ระบบเบรคของเจ้า l322 นั้นจะเป็น disc brake ทั้งสี่ล้อ โดย diameter ของจาน disc ล้อหน้าจะอยู่ที่ 344 mm ส่วนลูกสูบจะเป็นแบบ single 60 mm ส่วนจาน disc brake ล้อห่ลังนั้น diameter จะอยู่ที่ 354 mm ส่วนลูกสูบเบรค ก็จะเป็นแบบ single 42 mm อีกเช่นกัน ที่จะเขียนถึงก็คือเรื่องของผ้าเบรคครับ เนื่องจากในรุ่นนี้ระบบเตือนผ้าเบรคหมด  brake pads detect sensor จะมีมาให้ด้วย ซึ่งได้รับการพัฒนามาแล้ว โดยจะมี sensor อยู่ที่ล้อหน้าและล้อหลังด้านซ้าย ด้านเดียวเท่านั้นครับ ถ้าผ้าเบรคสึกหรอบางจนจาน disc brake ไปสัมผัสกับ sensor จน sensor ขาด สัญญาณจะโชว์ไปที่หน้าปัทมม์ทันที  จะทำให้เราทราบว่าผ้าเบรคใกล้จะหมดแล้ว ยังไม่หมดทีเดียวหรอกครับยังคงวิ่งได้อีกเป็นร้อยกิโลเมตรครับ ไม่ต้องตกใจเมื่อเห็นจอหน้าปัทม์เตือนนะครับ ก็อีกแหละครับในเมื่อมีระบบเตือนเพิ่มขึ้นมาก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นธรรมดาครับ เมื่อทำการเปลี่ยนผ้าเบรคทุกครั้งก็จะต้องเปลี่ยน เจ้า brake pads detect sensor ตัวนี้ด้วยพร้อมกับผ้าเบรคนะครับ เพราะว่าถ้า sensor ชำรุดไปแล้วก็ต้องเปลี่ยนใหม่ครับ ตัวละประมาณพันกว่าบาทครับ ส่วนหน้าจอdisplay จะโชว์คำว่า Check brake pads แต่ถ้าเกิดด้านขวาเกิดบางแล้วหมดก่อนก็คงจะเหมือนกับนังอ้วนเหมือนกันครับ ของนังอ้วนนั้นจะไม่มีระบบเตือนผ้าเบรคมาให้นะครับ แต่จะให้ระบบเสียงเตือนมาแทนครับ เมื่อใดก็ตามที่ผ้าเบรคหมดแล้วได้ยินเสียงเหล็กสีกับเหล็กนั่นแหละครับถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว ผ้าเบรคหมดเหล็กของผ้าเบรคไปสีกับจานเบรคแล้วครับ แล้วก็ต้องเปลี่ยนทั้งจาน disc แล้วก็ผ้าเบรคด้วยไปพร้อมกันไปเลยทีเดียวนะครับ ล้อเล่นนะครับ  ก็ควรระมัดระวังเอานะครับในเรื่องของผ้าเบรค ต้องหมั่นคอยตรวจความหนาบางเอา และสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ๆ ก็คือ เจ้าตัว slide เป็นสนิมหรือไม่เลื่อน จะทำให้ผ้าเบรคทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผ้าเบรคสึกหรอเร็วกว่ากำหนด และจะเกิดความร้อน กินน้ำมันเชื้อเพลิง รถไม่มีกำลัง ดังนั้นต้องคอยหมั่นตรวจเช็ค ลูกยางกันฝุ่นทั้งตัว slide และ  ลูกยางกันฝุ่นที่ตัวลูกสูบในcaliper ด้วยก็จะดีที่สุดครับ ถ้านังอ้วนคันไหนยังไม่เคยทำการ Overhaull ลูกสูบระบบเบรคเลย ขอแนะนำว่าสมควรที่จะทำได้แล้วครับ เพราะว่าส่วนมากแล้วจะพบเจออยู่ตลอดว่าผ้าเบรคสึกหรอไม่เท่ากันครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 19, 2012, 08:32:16 PM โดย คนรักษ์เร้นจ์ » บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #117 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 08:49:29 PM »

ช่วงนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับคุณทองดำ คุณทองดี แล้วก็ 2012 เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะเล่าให้ฟังครับ
บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
T_T
Global Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 554



« ตอบ #118 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 10:02:08 PM »

ช่วงนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับคุณทองดำ คุณทองดี แล้วก็ 2012 เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะเล่าให้ฟังครับ


ครายครับพี่คุณทองดี
บันทึกการเข้า
คนรักษ์เร้นจ์
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 553


รู้จริง..เรื่องเร้นจ์โรเวอร์


« ตอบ #119 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2012, 10:12:42 PM »

ติดค้างคำถามอยู่หลายวันแล้วครับเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันเบรค คำว่า vapour lock นั้นน้องถามมมาว่ามันคืออะไรอยากรู้ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันจะมีอาการอย่างไร แล้วจะส่งผลอะไรบ้าง ก็จะมาคุยกันในวันนี้เลยครับ

คำว่า vapour นั้นถ้าแปลกันตรง ๆ ตัวเลยก็คือ ไอน้ำครับ แต่ถ้าระบบเบรคนั้นถ้าน้ำมันเบรคกลายเป็นไอได้นั้นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะว่ามันจะต้องมีตัวความร้อนมาทำให้มันกลายเป็นไอ นั่นก็คือสิ่งที่เราคุยกันผ่านมาแล้วในเรื่องอุณหภูมิจุดเดือดของน้ำมันเบรค ถ้า spec ให้ใช้ Dot 4 แต่เรากลับไปใช้ Dot 3 โดยที่ไม่รู้ ก็จะมีผลตามมาดังนี้ครับ อุณหภูมิในระบบเบรคอาจจะสูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดน้ำมันเบรค ทำให้น้ำมันเบรคกลายเป็นไอภายในท่อทองแดงนของระบบเบรค แล้วเวลาที่เกิดการ vapour lock ตัวนี้ขึ้นมาเมื่อใดก็เหมือนท่านเหยียบคันเหยียบเบรคแล้วรู้สึกรถเบรคไม่อยู่หรือไม่อยู่เลย เหยียบแล้วหยุ่น ๆ เหมือนมีลมในระบบ เพราะการ vapour lock ภายในระบบเบรคจะทำให้เกิดฟองอากาศในระบบทำให้ไม่มีเบรคได้สังเกตง่าย ๆ เวลาที่ท่านขับรถทางลงเขาลาดชันมาก ๆ ที่จะต้องใช้เบรคตลอดเวลา ณ เวลานั้นแหละครับ การ vapour lock เกิดขึ้นได้เลย เพราะความร้อนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้มากกว่าปกติ ถ้าท่านเหยียบเบรคแล้วไม่มีเบรคจะรู้สึกตกใจมาก ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยท่านได้ในเวลานั้นก็คือ เกียร์ต่ำ เบรคมือ แล้วก็สติครับ ดังนั้นสาเหตุของอุบัติเหตุบนเขา รถตกเขา ตกเหว เลี้ยวแหกโค้ง จะมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยนี้ก็ได้นั่นก็คือน้ำมันเบรคไงเล่าครับ ที่อาจจะเกิดจากความไม่รู้ของเจ้าของรถเองก็ได้ เพราะมีอะไรก็ช่าง ถ้าได้ช่างดีก็ดีไป แต่ถ้าไปได้เด็กฝึกงานในอู่เจ้าของอู่บอกให้เติมน้ำมันเบรคก็เติมไม่รู้หรอกว่า dot 3 dot 4 มันคืออะไร เห็นอะไรเป็นน้ำมันเบรคก็ใส่ลงไป การผสมลงไปก็เป็นข้อห้ามอยู่แล้ว ยังผิด spec อีก ก็ควรระมัดระวังในการนำรถไปซ่อมแซมเรื่องเบรค ควรให้ผู้ที่มีความชำนาญเท่านั้นทำการซ๋อมแซมระบบเบรคของท่าน ก่อนที่ท่านจะตกอยู่ในนาทีฉุกเฉินครับ

แล้วถ้ามันเกิดการ vapour lock แล้วมันจะชำรุดเสียหายในระบบหรือไม่ ถ้าโชคดี seal 0 ring ที่ตัว caliper ไม่ฉีกขาดรั่วเสียก่อนก็คงไม่เป็นไรครับ รอให้เย็นตัวสักครึ่งชั่วโมงก็สามารถขับไปต่อได้ครับ แต่ส่วนมากแล้วเวลามันเกิดขึ้นแล้วด้วยความตกใจหรือด้อยประสบการณ์ จะทำให้ท่านทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถหยุดรถได้ และจะเกิดอุบัติเหตุได้ในที่สุด ดังนั้นควรระวังครับ

ท่านจะสังเกตบ้างไหมครับการขับรถขึ้นเขานั้นไม่ค่อยมีปัญหากับระบบเบรคมากเท่าไร ส่วนมากจะมีปัญหากับพลังของเครื่องยนต์เสียมากกว่า แต่ว่าตอนลงเขานั้นแหละครับที่จะต้องมีการเตรียมตัว เตรียมตัวอย่างไรหรือครับ ส่วนมากแล้วรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบ HDC มาช่วยในการลงทางลาดชัน และถ้ามีเกียร์ slow ก็ควรที่จะใส่ก่อนที่จะลงเขาที่มีความลาดชันมาก ๆ แต่ถ้าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ไม่มีระบบอะไรมาช่วยเลยก็ควรใช้เกียร์ต่ำช่วยนะครับ อย่าประมาทโดยเฉพาะมือใหม่หัดขับครับ อย่าขับรถแบบเสียวทั้งคันมันคนเดียว เพราะทุกคนที่อยู่ในรถนั้นมันเสียวว๊อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2012, 10:39:02 PM โดย คนรักษ์เร้นจ์ » บันทึกการเข้า

พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้...และ...ให้
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.11 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Hosting by THAISITE.net Valid XHTML 1.0! Valid CSS!